เปิดบ้าน ‘ขนมลิลัว’ ร้านขนมไทยยุคใหม่กับความตั้งใจ อยากให้ทุกคนได้ชิมขนมที่มีส่วนผสมของความน่ารัก
ถึงยุคสมัยนี้ คนรุ่นใหม่จะหันไปทานขนมเบเกอรีกันมากขึ้น แต่เชื่อว่าคงมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อย (เช่นผู้เขียนเอง) ที่ยังโหยหา ‘ขนมไทย’ ไว้ชุบชูใจ อยากย้อนวันวานไปกับรสหวานละมุนแบบไทย ๆ ที่หลายคนต่างคุ้นเคย ทานกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แม้ว่าปัจจุบันจะหาซื้อกันได้ตามท้องตลาดทั่วไป แต่การเสาะหาร้านขนมไทยที่มีความบาลานซ์ทั้งในแง่ของรสชาติ วัตถุดิบที่เลือกใช้ เรื่อยไปจนถึงรูปลักษณ์ขนมที่ออกแบบและคัดสรรมาให้ตรงจริตคนทานนั้นไม่ง่ายเลย
หากคุณเป็นหนึ่งในนักชิมสายขนมไทย ครั้งนี้คอลัมน์ Behind the Taste จะขอเปิดวาร์ปร้านขนมไทยออนไลน์สุดน่ารักอย่าง ‘ขนมลิลัว (Kanomlyloir)’ ที่ถ้าใครได้ลองเข้าไปส่องโปรไฟล์ Instagram ร้านแล้วละก็ อาจโดนความน่ารักนุบนิบใจตกเข้าให้ จนต้องอยากทักไปพรีออเดอร์ขนมแน่นอน เพราะนอกจากหน้าตาขนมจะดึงดูดใจแล้ว หลากหลายเรื่องราวกว่าจะมาเป็นเมนูขนมไทยที่เจ้าของร้าน ‘คุณข้าวฟ่าง-วิรงรอง ทองประกอบ’ ได้เขียนถ่ายทอดไว้ในแต่ละภาพ อีกทั้งสารพัดองค์ประกอบที่หลอมรวมกันเป็น ‘ขนมที่มีส่วนผสมของความน่ารัก’ ตามคำโปรยของร้านยังน่าสนใจ ชวนให้เราอยากทำความรู้จักกับร้านมากขึ้นไปอีก เบื้องหลังความน่ารักชวนหิวของขนมลิลัวจะน่าติดตามแค่ไหน ตามไปพิสูจน์จากบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้กัน
เพราะขนมไทยผูกพันอยู่ในสายเลือด
เส้นทางของนักทำขนมไทย เป็นสิ่งที่ 'ข้าวฟ่าง’ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเหมือนกันว่าวันหนึ่งเธอจะได้ยึดทำอาชีพนี้อย่างจริงจัง ทั้งที่เดิมทีนั้นก็เคยทำงานสายอื่นมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน, ฟู้ดสไตลิสต์, นางแบบโฆษณา ฯลฯ กว่าจะค้นพบความลงตัวของอาชีพทำขนมไทยที่เรียกได้ว่าเป็นตัวเองและตอบโจทย์ทุกความชอบในชีวิตของเธอได้ทั้งหมด
อันที่จริงแล้วข้าวฟ่างกับขนมไทยมีความผูกพันกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเธอเติบโตมาในครอบครัวที่ทำขนมไทยในจังหวัดสกลนคร โดยทั้งคุณพ่อและแม่เป็นครู รวมถึงมีอาชีพทำขนมไทยขายเป็นรายได้เสริม ซึ่งตอนเด็ก ๆ ข้าวฟ่างมีหน้าที่เป็นลูกมือคอยช่วยแม่ทำขนมอยู่เสมอ แต่ตอนนั้นไม่เคยมีความคิดที่อยากจะทำขนมไทยขายเลย
จนมาวันหนึ่ง เกิดความคิดถึงบ้าน จู่ ๆ นึกอยากกินขนมต้มแบบที่แม่เคยทำ จึงตัดสินใจโทรถามแม่และลองหัดทำเองบ้าง หลังลองผิดลองถูกอยู่นานจนเป็นที่พอใจก็เริ่มลงโพสต์ผ่านทาง Instagram ปรากฏว่ามีคนสนใจสั่งซื้อขนมไม่น้อย เลยเริ่มเปิดรับออเดอร์เป็นต้นมา ทุกครั้งที่เว้นว่างจากงานประจำ ข้าวฟ่างก็เปิดรับออเดอร์ทำขนมไทยไปด้วย เมื่อผ่านพ้นช่วงสถานการณ์โควิดมาได้จนถึงปัจจุบัน จึงยึดอาชีพทำขนมไทยเป็นอาชีพหลักเป็นต้นมา นับตั้งแต่ปี 2562 กระทั่งตอนนี้ย่างเข้าปีที่ 6 แล้ว ที่การทำขนมไทยเป็นเหมือนจุดตัดที่พอดีสำหรับเธออย่างแท้จริง
‘ขนมลิลัว’ ชื่อร้านนี้มีที่มา
ข้าวฟ่างเล่าให้ฟังพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้มว่า “ชื่อร้านขนม เริ่มมาจากคำว่า ‘ลิลัว’ ก่อน ตอนนั้นเราเล่น Instagram แล้วปรากฏว่าชื่อ Account ข้าวฟ่างเหมือนกับเรา มีคนใช้ไปหมดแล้ว เราก็เลยลองเสิร์ชว่ามีชื่ออะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง พอดีชื่อจริงของเรา ‘วิรงรอง’ แปลว่า ‘ดอกพลับพลึง’ เลยไปเจอคำนึงเป็นภาษาเหนือ (ปกาเกอะญอ) คำว่า ‘ลิลัว’ ซึ่งก็แปลว่าดอกพลับพลึงเหมือนกัน คิดว่าน่ารักดี ยังไม่มีใครใช้ แถมยังออกเสียงคล้าย ๆ ภาษาฝรั่งเศสด้วย เลยตั้งชื่อ Account ตัวเองเป็นชื่อนี้ พอหลังจากเริ่มทำขนมขาย ด้วยความที่เราเป็นคนชอบดอกไม้ อยากให้ชื่อร้านขนมมีดอกไม้อยู่ด้วย เลยเลือกใช้ชื่อง่าย ๆ ว่า ‘ขนมลิลัว’ เพื่อให้ขนมกับดอกไม้ได้อยู่ด้วยกันค่ะ”
ร้านขนมที่มีส่วนผสมของความน่ารัก
การสร้างสรรค์ความอร่อยในแบบของขนมลิลัว มาพร้อมจุดยืนของการทำขนมตามยุคสมัยใหม่ โดยไม่ยึดติดกับภาพจำเดิม ๆ ที่ต้องมีความเป็นไทยจ๋าและเน้นโพสต์ขายของแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
“มีคำนึงที่เราชอบ แล้วก็เขียนไว้ที่หน้าเพจขนมว่า ‘ขนมที่มีส่วนผสมของความน่ารัก’ ซึ่งคำว่าน่ารักในที่นี้ ไม่ใช่แค่ภายนอกที่เราเห็น แต่ยังหมายรวมถึงเรื่องราวระหว่างทางที่ใส่ความน่ารักลงไปด้วย ถ้าลองสังเกตดี ๆ ไล่เรียงดูสิ่งที่เราโพสต์ บางภาพอาจไม่เกี่ยวกับการทำขนมเลย เป็นเรื่องของโมเมนต์น่ารัก ๆ ที่เราอยากเก็บมาเล่าให้ลูกค้าหรือคนที่ติดตามอยู่ได้อ่านกันแบบเพลิน ๆ มากกว่าที่เน้นขายขนมเพียงอย่างเดียว เพราะบางทีเรื่องราวเหล่านี้ทำให้รสชาติขนมของเราอร่อยขึ้นโดยปริยาย”
จากแนวคิดที่ข้าวฟ่างเล่ามานี้ เลยถูกนำมาใช้เป็นสโลแกนประจำร้าน เป็นร้านขนมที่มีส่วนผสมของความน่ารัก ซึ่งนิยามของคำว่าน่ารักนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แพ็คเกจภายนอกที่มองเห็นเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการบอกเล่าเรื่องราวระหว่างทางการทำขนมว่าเธอได้พบเจอกับความประทับใจอะไรบ้าง ทั้งเรื่องการเตรียมวัตถุดิบด้วยตัวเอง, การฝึกทำขนมไทยชนิดใหม่ ๆ, การไปเรียนทำขนมมาเพิ่มเติม, การได้เจอกลุ่มคนที่ทำวัตถุดิบอย่างตั้งใจ, เรื่องเล่าเกี่ยวกับดอกไม้สวย ๆ ข้างทาง, การออกแบบแพ็คเกจจิ้งขนม ไปจนถึงข้อผิดพลาดที่พบเจอ ทุกอย่างล้วนถูกนำมาเล่าราวกับลูกค้าเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เธอพร้อมแชร์สิ่งดี ๆ ให้ฟังอย่างตั้งใจ
หัวใจสำคัญของการทำขนมไทย
ข้าวฟ่างอธิบายถึงหัวใจหลักของการทำขนมไทยไว้ว่า “เราต้องเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีและสดใหม่ค่ะ อย่างการใช้กะทิจากทับสะแก แป้งโม่อย่างดีจากคนทำแป้งเอง มีการใช้น้ำตาลที่หลากหลายแหล่งที่มาทั้งจากไทยและศรีลังกา การเสาะหากลุ่มคนที่ทำวัตถุดิบด้วยความตั้งใจ เช่น กลุ่มคนทำลูกตาลสุกส่งตรงจากเพชรบุรี, สวนมะพร้าวน้ำหอมที่คัดมาเป็นอย่างดีจากบ้านแพ้ว, คนทำผงสีจากธรรมชาติ อย่างแบรนด์ ‘สิริเมืองพร้าว’ ซึ่งมีความรู้เรื่องดอกไม้และผลิตสีที่ได้จากธรรมชาติ รวมถึงความพยายามในการปลูกวัตถุดิบบางอย่างด้วยตัวเอง ทั้งใบเตย เล็บครุฑลังกา (ใช้รองขนม) ดอกอัญชันใช้ทำสี และดอกไม้ต่าง ๆ ในการตกแต่งขนมด้วย"
“เราเน้นคัดสรรวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ เพราะอยากให้เด็ก ๆ ทานได้ด้วย แรก ๆ ที่เริ่มทำขนมกลุ่มเป้าหมายเราไม่ใช่เด็ก ๆ เลย แต่พอทำไปทำมาก็เริ่มเห็นว่าเรามีความสุขที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ชอบทานขนมของเรา เวลาเราทำขนมเลยจะคิดเผื่อเสมอว่าขนมนี้เด็ก ๆ เขากินได้มั้ย แพ็คเกจขนมแบบนี้เด็ก ๆ จะชอบรึเปล่า เรารู้สึกว่าถ้าเด็กชอบ กลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ก็น่าจะชอบด้วยเหมือนกัน อย่างขนมชั้นก็มีออกแบบหน้าตาขนมตามเทศกาลพิเศษด้วย ทั้งฮาโลวีน คริสต์มาส ให้หน้าตาขนมดูน่ารักน่าทาน ไม่ก็หั่นชิ้นขนมให้มีขนาดเล็กลงไปอีก เพื่อจะให้มือน้อย ๆ ของพวกเขาหยิบทานได้ง่าย ๆ”
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำขนมของข้าวฟ่างเลยก็คือ ต้องเป็นของขวัญที่ทานได้ ผ่านความตั้งใจเติมรายละเอียดให้หน้าตาขนมแลดูน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่ยังคงรสชาติและลักษณะของขนมไทยที่ดีไว้ พร้อมออกแบบแพ็คเกจให้หลากหลายเหมือนเป็นงานประดิษฐ์ชิ้นหนึ่ง เพื่อให้คนที่ได้รับขนมรู้สึกเซอร์ไพรส์และเกิดความประทับใจมากที่สุด
กว่าจะเป็นสารพัดขนมไทยที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยสุดน่ารัก
นอกจากความน่ารักของตัวขนมไทยที่ชวนนุบนิบใจแล้ว แนวการคัดสรรเมนูขนมไทยประจำร้านขนมลิลัวมักเริ่มต้นมาจากความชอบกินเป็นหลัก ก่อนจะค่อย ๆ ปรับให้ตัวขนมเป็นไปในทิศทางที่มีส่วนผสมของความน่ารักมากขึ้น
“อันดับแรกเราต้องทำให้ขนมมีรสชาติที่ดีก่อน แล้วค่อย ๆ ปรับสูตร ค่อย ๆ ดีไซน์แพ็คเกจจิ้งตามลำดับ บางเมนูก็เรียนรู้เพิ่มเติม เราเป็นคนเรียนเยอะมากเลย ถ้าหากเทียบสัดส่วน น่าจะเรียนพอ ๆ กับทำขนมเลยล่ะ เริ่มต้นจากเปิด Youtube ก่อน เปิดดูสูตร ลองทำเองก่อนว่าทำประมาณไหน เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วค่อยไปลงเรียนทำขนมเพิ่มเติมค่ะ ซึ่งการเรียนทำขนมไทยทุกชนิด ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องมาปรับอีกทีนึงให้เข้ากับร้านของเรา อย่างขนมกลีบลำดวนก็เป็นหนึ่งในเมนูขนมที่ค่อนข้างมีการ Test รสชาติ ส่วนผสมต่าง ๆ อย่างละเอียด จะเลือกเปลี่ยนสัดส่วนแค่อย่างเดียว เช่น Test ความหวานของปริมาณน้ำตาลหรือความเค็มของปริมาณเกลือที่ใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เราค่อย ๆ Test ทีละอย่าง เลยใช้เวลานาน และบางครั้งเราทำขนมปริมาณเยอะ ๆ ก็ต้องมีการปรับสัดส่วนตามเหมาะสม โดยต้องไม่ยึดว่าสูตรขนมเราอร่อยแล้ว ต้องมีการปรับเรื่อย ๆ เลยค่ะ”
“เวลาทำขนมทุกครั้ง เราต้องมีค่าตั้งต้นของเราเองด้วยว่าอยากให้ขนมของเรามีรสชาติเป็นยังไง เมื่อ Test รสชาติจนได้ขนมตามแบบที่เราชอบ พอวางขายไปได้สักระยะก็จะเก็บคอมเมนต์จากลูกค้ามาปรับ รวมถึงการสังเกตข้อดีข้อเสียมาพัฒนาให้เกิดความลงตัวในแบบของเรา เราต้องคิดตั้งแต่ต้นทางทำให้ขนมอร่อย ไปจนถึงคนทานได้รับขนมในสภาพที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“เรื่องของความอร่อยก็เป็นปัญหาคลาสสิก อร่อยเราอร่อยเค้า แต่ถือว่ายังโชคดีที่ความอร่อยเราตรงกับอร่อยเค้าพอสมควร มันก็เลยอยู่ได้ พูดตามตรงก็คือลูกค้าที่สั่งในแต่ละรอบ ส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็นลูกค้าเดิม สั่งประจำ เหนียวแน่นมากค่ะ”
ข้าวฟ่างไม่อาจรับประกันได้ว่าขนมไทยในเวอร์ชันของเธอนั้นจะถูกปากนักชิมทุกคนได้หรือไม่ แต่สิ่งที่รับประกันได้แน่ ๆ คือการขายขนมที่มีส่วนผสมของความน่ารักลงไปในทุกขั้นตอน
เมนูแนะนำประจำร้าน
เมื่อลองให้ข้าวฟ่างได้เลือกเมนูแนะนำประจำร้านที่บ่งบอกถึงความเป็นขนมไทยในแบบของขนมลิลัวมากที่สุด เธอก็ได้ให้คำตอบกลับมาว่า “เมนูที่เลือกทำจะเปลี่ยนไปในแต่ละเดือน และแต่ละเดือนเมนูขนมจะไม่ซ้ำเพราะเป็นเรื่องของฤดูกาล เช่น หน้าร้อนก็จะมีขนมตาล แต่ถ้าอากาศร้อนมากก็จะลดเมนูขนมที่มีส่วนผสมของกะทิลงเพื่อไม่ให้ขนมเสียง่าย พอถึงหน้าฝนก็จะเลือกทำขนมแห้งที่เก็บไว้ทานได้นานหน่อย แต่หลัก ๆ แล้ว ขนมที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวแทนของร้านขนมลิลัวมาก ๆ ก็น่าจะเป็น ‘กลีบลำดวน’ อาจจะด้วยรูปร่างขนมที่เหมือนดอกไม้จริง สีที่ใช้ก็ทำมาจากดอกไม้ด้วย รวมกันเป็นความใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักมากที่สุดค่ะ”
ขนมไทยที่ข้าวฟ่างขายดูต่างจากภาพของขนมไทยที่เราเคยเห็นทั่วไป แม้จะมีราคาสูงกว่าปกติ แต่เรื่องความพิถีพิถัน การควบคุมมาตรฐานเรื่องสัดส่วนขนม บวกกับผสมความน่ารักเป็นพิเศษนั้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความสมน้ำสมเนื้อ
“ในหนึ่งเดือนอาจเห็นว่าเราเลือกเปิดรอบพรีออเดอร์แค่หนึ่งครั้ง เพราะเราไม่ชอบโพสต์หรือพูดถึงเรื่องราคาขนมสักเท่าไหร่ เรารู้สึกว่าขนมหรืออะไรก็ตามที จะถูกหรือจะแพงมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำ เป็นเรื่องของคุณค่า ถ้าเราแฮปปี้กับราคานี้ แฮปปี้ที่จะซื้อ ก็ไม่มีคำว่าถูกหรือแพง เพียงแต่ว่าเราพอใจกับสิ่ง ๆ นั้นหรือเปล่า ทุกอย่างเป็นความพอใจระหว่างคนซื้อและคนขายมากกว่าเท่านั้นเองค่ะ”
ปัจจุบันเมนูประจำร้านขนมลิลัวมีให้เลือกพรีออเดอร์ถึง 10 เมนูด้วยกัน ได้แก่ ขนมต้ม (1 กล่อง บรรจุ 7 ชิ้น ราคา 120 บาท), กลีบลำดวน (1 กระปุก บรรจุ 15 ชิ้น ราคา 200 บาท), ขนมชั้น (ราคา 150-200 บาท ขึ้นอยู่กับดีไซน์ขนมที่มีให้เลือกหลายแบบ), ตะโก้ (1 กล่อง คละ 2 ไส้ ราคา 150 บาท), ขนมกล้วย (1 กล่อง บรรจุ 6 กระทง ราคา 150 บาท), ขนมตาล (1 กล่อง บรรจุ 6 กระทง ราคา 150 บาท), กล้วยเชื่อมแดง, ข้าวเหนียวเปียกลำไย (ราคา 120 บาท), วุ้นกระต่ายน้ำมะพร้าว (1 กล่อง บรรจุ 8 ชิ้น 120 บาท), วุ้นกรอบมะตูมและเก๊กฮวย (1 กระปุก ราคา 180 บาท) ใครชื่นชอบเมนูไหนก็สามารถจดลิสต์ไว้ เตรียมพรีออเดอร์พร้อมติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมกันได้ ซึ่งทางร้านจะเปิดรอบให้ลูกค้าสั่งขนมไทยในทุก ๆ ต้นเดือนผ่านช่องทาง Instagram
ความสุขเล็ก ๆ ของคนทำขนมไทย
เบื้องหลังความอร่อยของขนมไทยแต่ละชิ้นล้วนผ่านหลากหลายองค์ประกอบที่ต้องอาศัยทั้งใจรัก ความชอบ และประสบการณ์การทำงานในแต่ละพาร์ทของข้าวฟ่างทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Composition การจัดวางตำแหน่งภาพขนมในแต่ละภาพบน Instagram มู้ดและโทนของภาพที่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการทำงานด้าน Food Stylist หรือจะเป็นเทคนิคการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ จากการทำงานด้านนักเขียนที่เธอเคยทำมาก่อน สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ สั่งสมเป็นองค์ความรู้ให้เธอหยิบจับและนำมาปรับใช้งาน ผสมกับความเป็นตัวเองที่ชอบดูรูปภาพมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะนำมาสู่อาชีพนี้ได้
“แต่ก่อนเราไม่รู้หรอกว่ามันจะช่วยส่งเสริมอาชีพเราได้ยังไง หรือแม้กระทั่งความเป็น Food Stylist เราชอบดูเลย์เอาต์มาแต่ไหนแต่ไร พอได้มาทำขนมมันเหมือนเป็นแพทเทิร์นที่เราจำได้แล้วว่าแบบไหนที่เราชอบ แบบไหนคือสวยสำหรับเรา พอได้มาทำขนมเราก็สามารถดีไซน์ทุกอย่างออกมาได้เอง”
“การทำขนมไทยความสนุกอยู่ตรงที่มันยาก มีโจทย์ใหม่ ๆ ให้เราได้ลองทำเมนูใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ เหมือนเราเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ แล้วระหว่างทางมันสนุก เหมือนแต่ก่อนเราชอบมีคำถามกับตัวเองว่างานเราที่ทำไปลูกค้าจะชอบมั้ยนะ แต่พอได้มาทำขนมเรารู้สึกว่าได้ปฏิสัมพันธ์ ได้พูดคุย ได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้า แล้วก็อยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ”
“ความฟินหลังทำขนมเสร็จทุกครั้งคือการได้เข้าไปส่อง Pinterest อัพเดทแรงบันดาลใจในการคิดแพ็คเกจขนมต่อที่ทำให้ขนมไทยเราดูแตกต่าง มันเหมือนเป็นการทำขนม 24 ชั่วโมง แต่ทุกอย่างมัน Flow ไปตามธรรมชาติ โดยที่เราไม่รู้สึกว่าเราฝืน อย่างการดีไซน์กล่องกระดาษสำหรับใส่ขนมชั้นที่พอทานขนมเสร็จแล้ว สามารถรียูสภาพพิมพ์บนกล่องขนมให้กลายเป็นที่คั่นหนังสือสวย ๆ ได้ด้วย หรือจะเป็นไอเดียออกแบบกระปุกกลีบลำดวน เราก็ลองเสิร์ชหา Candle Packaging ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำขนมเลย ก็ลองมาใช้กับการห่อกระปุกขนมให้ออกมาน่ารักและดูแปลกตา เป็นความชอบส่วนตัวที่รู้สึกว่าอยากให้ขนมไทยมีความน่ารักมากขึ้นจริง ๆ ทั้งภายในและภายนอก”
ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะของเจ้าของร้านขนมลิลัว เจ้าตัวยังบอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจอีกด้วยว่า "การที่ลูกค้าชอบขนมในร้านและทานอย่างมีความสุข คือความสุขของคนทำเช่นกันค่ะ"
ก้าวต่อไปของร้านขนมลิลัว
เพราะทุก ๆ วัน การได้ลงมือทำขนมคือความสุขในชีวิตประจำวันของข้าวฟ่าง ในหนึ่งวันเธอเลือกทำขนมเพียงวันละหนึ่งชนิด เพื่อจะได้โฟกัสในแต่ละขั้นตอนทำขนม จัดสรรตามข้อจำกัดของขนมแต่ละชนิดได้อย่างเหมาะสม
“ปกติอาทิตย์นึงเราจะส่งขนมประมาณวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ ซึ่งก่อนหน้าประมาณวันจันทร์หรือวันอังคารเราจะทำขนมแห้งก่อน อย่างขนมกลีบลำดวน วุ้นกรอบ แล้วพอถึงวันพุธกับพฤหัสบดีก็จะเตรียมของสำหรับที่จะทำขนมสดในวันจัดส่ง ก็เรียกได้ว่าทำขนมทั้งอาทิตย์เลย สำหรับต่อหนึ่งรอบ อาจจะทำได้ไม่เยอะ ด้วยเพราะแรงเดียว แต่ว่าพอเราตั้งใจทำ มันทำให้ขนมมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจริง ๆ โดยที่เราไม่ต้องเน้นปริมาณก็ได้”
"อาชีพทำขนมเราได้รายได้ประมาณนึง แต่พอเราลองคำนวณแล้ว มันคือวิถีที่เราเลือก ทุกวันเราไม่ต้องออกไปเจอรถติด ไม่ต้องแย่งชิงการกิน การอยู่ การใช้ ได้ตื่นมาออกกำลังกาย ทำสวนปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่เราชอบ ช่วงสาย ๆ ก็ออกไปจ่ายตลาด ได้ทำกับข้าวกินเอง เลยรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เราพอใจ อยากใช้ชีวิตแบบนี้จริง ๆ”
และเมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องแพลนอนาคตในเส้นทางอาชีพทำขนมไทยของเธอ ข้าวฟ่างก็ได้พูดเสริมทิ้งท้ายแบบเขิน ๆ ไว้ว่า “เราเป็นคนไม่ค่อยวางแผน แต่มีความตั้งใจว่าจะทำให้ลูกค้ามีความสุขเพิ่มมากขึ้นจากการได้ทานขนมชนิดใหม่ ๆ และตื่นตาตื่นใจกับแพ็คเกจน่ารัก ๆ ไปตลอดทาง ถึงคนทานขนมไทยในยุคนี้ ก็ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะที่ชื่นชอบและสนับสนุนขนมไทย ไม่ว่าจะทั้งในร้านขนมลิลัวเองหรือร้านอื่น ๆ ด้วย ในฐานะคนทำขนมเห็นแบบนี้ก็รู้สึกชื่นใจ ขอบคุณทุกคนอีกครั้ง ดีใจที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ”
ส่วนในอนาคตขนมลิลัวจะมีหน้าร้านหรือไม่ เธอว่าทุกอย่างย่อมมีเวลาผลิบาน โดยที่เราไม่ต้องรีบร้อน ถึงตอนนี้จะไม่มีหน้าร้านอย่างเป็นทางการ ทุกวันนี้เรายังสามารถติดต่อกันผ่านช่องทาง Instagram ได้เสมอ ซึ่งหากใครที่อยากพบหน้าค่าตาแม่ค้าข้าวฟ่างสักครั้งแล้วละก็ รอติดตามความเคลื่อนไหวผ่าน Account ขนมลิลัวกันได้ ไม่แน่นะว่า คุณอาจได้พบปะพูดคุย อุดหนุน ‘ขนมที่มีส่วนผสมของความน่ารัก’ กับโปรเจ็กต์พิเศษ ‘ร้านชำบ้านเพื่อน’ ที่แว่วมาจะได้จัดขึ้นในช่วงปลายปี 2568 นี้ ก็เป็นได้ !
ขนมลิลัว (Kanomlyloir)
สั่งซื้อขนมไทยได้ทาง LINE : @kanomlyloir
สามารถติดตามหลากหลายเรื่องราวความน่ารักในแบบฉบับขนมลิลัวเพิ่มเติมได้ที่ www.instagram.com/kanomlyloir