5 ร้านอาหารนานาชาติสุดฮิตที่เหล่านักชิมไม่ควรพลาด

Published on February 19, 2019

BKK. ชวนเหล่านักชิม ตีตั๋วออกเดินทางไปลิ้มรสความอร่อยจากทั่วทุกมุมโลก ผ่าน 5 ร้านอาหารนานาชาติสุดฮิต ที่พร้อมนำเสนอหลากหลายเมนูแนะนำจากเชฟมากฝีมือ พร้อมรังสรรค์เมนูอาหารรสเลิศที่ต่างสไตล์ ต่างรูปแบบ ต่างกรรมวิธี ความแตกต่างของอาหารแต่ละเชื้อชาติจะเป็นอย่างไร และหน้าตาจะน่าทานสักแค่ไหน เตรียมปักหมุดร้านที่ใช่ เมนูที่ชอบเอาไว้เลย 

1

Five Crossing Eatery & Winery

FULL REVIEW
 

Five Crossing Eatery & Winery

เริ่มต้นความคลาสสิกแบบโลกตะวันตกกันที่ร้าน Five Crossing Eatery & Winery ร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนในย่านถนนบอนด์สตรีท เมืองทองธานี ที่นำเสนอหลากหลายเมนูอาหารและไวน์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Across the Five Senses” ที่จะเชิญชวนให้ทุกคนได้มีโอกาสแวะเข้ามาเปิดประสบการณ์ใหม่ กับรูป รส กลิ่น เสียงและการสัมผัส ที่ทางร้านตั้งใจคัดสรรมามอบให้กับลูกค้าทุกคน

ตั้งแต่ การสร้างสรรค์เมนูอาหารรสเลิศให้แพร์ริ่งกับไวน์ชั้นดี รวมไปถึงงบรรยากาศสุดชิคสไตล์ทัสคานี บ้านหลังน้อยแบบชาวตะวันตก เคล้าไปกับบรรยากาศยามเย็นและเสียงเพลงเพราะ ๆ จากนักดนตรีมากฝีมือ ที่จะทำให้ค่ำคืนนี้ของคุณและครอบครัว อบอุ่นมากกว่าที่เคย 

FULL REVIEW
 

ร้านอาหารดี ๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Across the Five Senses”

เมนูต่าง ๆ ของทางร้านนั้น นำเสนอความเป็นอิตาเลียนแท้ ๆ ทั้งการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากหลากหลายแหล่งที่มา เพื่อนำมาปรุงในกรรมวิธีสไตล์อิตาเลียน ที่จะคงเสน่ห์ของความเป็นอาหารโฮมเมดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เริ่มต้นกันที่ Bowl Of Mussels (580 บาท) เมนูจาก หอย Black Mussel Chile ที่ให้กลิ่นอายออกไปทางฝรั่งเศสเล็กน้อย ซึ่งทางร้านนำหอยไปอบกับไวน์ขาวให้เข้าเนื้อ แล้วเสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังกระเทียม  เป็นเมนูเก่าแก่ ที่เกิดขึ้นตรงกับยุคที่ผู้คนเปิดรับกับสิ่งใหม่ ๆ ทำให้เริ่มมีการนำเครื่องเทศมาใช้ปรุงอาหารมากขึ้น 

 

Bowl Of Mussels (580 บาท)

หรือจะลองเป็นเมนูที่หนักขึ้นมาหน่อยอย่าง Lobster Thermidore (2,500/กิโลกรัม) ล็อบเตอร์ผัดกับโมเน่ซอส ไวน์ขาวและครีม นำไปอบชีสจนให้กลิ่นหอมน่าทาน ทางร้านเลือกใช้ Maine Lobster ซึ่งเป็น Wild Lobster ที่ถูกจับตามธรรมชาติจากแม่น้ำ Maine สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในสุดยอดล็อบเตอร์ที่หลายคนนิยมทาน เพราะเนื้อของล็อบเตอร์ชนิดนี้มีรสชาติหวานและอร่อยกว่าชนิดอื่น ๆ 

 

Lobster Thermidore (2,500/กิโลกรัม)

ปิดท้ายกันด้วย Jack’s Creek (3,300 บาท/500 กรัม) สเต๊กเนื้อนุ่มจาก Jack’s Creek Wagyu วัวลูกผสมระหว่างทาจิมะและแองกัส ถูกเลี้ยงบนพื้นที่เกาะส่วนตัว ทานพืชตามธรรมชาติและน้ำแร่จากภูเขาไฟเป็นหลัก ทำให้เนื้อของวัวชนิดนี้นุ่ม และมีรสชาติ รวมถึงกลิ่นในตัวจากพืชที่ทานเข้าไป แม้ยังไม่ได้ปรุงหรือหมัก ทางร้านเลือกเสิร์ฟแบบกระทะร้อน เพราะเมื่อไขมันของเนื้อสัมผัสกับความร้อนจะส่งกลิ่นหอม ๆ ออกมา จานนี้ติดอันดับหนึ่งในสเต๊กที่ดีที่สุดในโลกปี 2015 

 

Jack’s Creek (3,300 บาท/500 กรัม)

Five Crossing Eatery & Winery
ถนนบอนด์สตรีท เมืองทองธานี
เปิดทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ เวลา 17.00 - 00.00 น. เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 11.00 - 00.00 น.
โทร. 064-936-5666
www.facebook.com/fivecrossing

2

Love Me Tender à la plancha

FULL REVIEW
 

บ้านหลังน้อยสไตล์โพรว๊องซ์ที่แอบซ่อนอยู่ในสุขุมวิท 39

สัมผัสความอร่อยสไตล์โพรวองซ์กันที่ Love Me Tender à la plancha สาขาสุขุมวิท 39 ที่สร้างสรรค์โดยคุณนิทัศน์ เลิศเดชะชัยและเชฟระดับโลกอย่าง Chef Jean - Pierre Guillaud จาก Cuisine Solutions ที่ร่วมมือกันสร้างสรรค์ร้านอาหารฝรั่งเศสในคอนเซ็ปต์สไตล์โพรวองซ์ ซึ่งทางร้านออกแบบบรรยากาศของบ้านหลังน้อยกลางธรรมชาติ ในแถบชานเมืองฝรั่งเศส เน้นการใช้อิฐและไม้สีอ่อน ให้บรรยากาศความเป็นโฮมมี่ ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง นอกจากนี้ทางร้านยังมีโซนเอาท์ดอร์ในสวนสวย ที่มาพร้อมกับต้นไม้ใหญ่ น้ำพุสุดชิคในบรรยากาศแสนร่มรื่นอีกด้วย 

FULL REVIEW
 

Love Me Tender à la plancha

Love Me Tender ถือเป็นร้านแรก ๆ ที่ใช้กรรมวิธีการปรุงอาหารแบบ Sous-Vide เพื่อคงคุณค่าของรสชาติอาหารให้รู้สึกสดและใหม่อยู่เสมอ สำหรับใครที่ชอบทานซีฟู้ดทางร้านแนะนำให้ลอง Bouilabaisse with Bouille ซุปบุยยาเบส ซุปซีฟู้ดสูตรพิเศษ สไตล์ฝรั่งเศสตอนใต้ ซึ่งทางร้านใช้ปลากระพงขาว หอยตลับ หอยแมลงภู่ กุ้ง ปลาหมึกและมันฝรั่ง ผสมลงในซุปรสชาติเข้มข้นที่มีเบสเป็นเนื้อปลา แนะนำให้ทานคู่กับขนมปังกระเทียม 

 

Bouilabaisse with Bouille

หรือจะลองเป็น  Rose Duck Breast Salad ทางร้านใช้เนื้อส่วนอกเป็ด นำมาซูวีร์ ให้เนื้อนุ่ม เป็นสีชมพูน่าลิ้มลอง เสิร์ฟมาพร้อมกับสลัดผักสด ๆ กรอบ ๆ และน้ำสลัดพอนสึโฮมเมด ที่ให้รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยให้สลัดอกเป็ดจานนี้ได้รสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้น 

 

Rose Duck Breast Salad

ปิดท้ายกันด้วยเมนูยอดนิยมที่ไม่ควรพลาดอย่าง Oyster Fine de Claire หอยนางรมฟินเดอแคลร์  นำเข้าจากฝรั่งเศส เสิร์ฟมาพร้อมกับเลมอนฝานเป็นชิ้นบาง และซอสเรดไวน์เวเนก้าผสมหอมแดงสับ เพื่อความอร่อยและความสดใหม่ในทุก ๆ ตัว ทางร้านจึงมีการจำกัดจำนวนการนำเข้าในแต่ละวัน จึงแนะนำให้โทรไปจองก่อน 

 

Oyster Fine de Claire

Love Me Tender à la plancha
สาขาสุขุมวิท 39
เปิดทุกวัน (ปิดวันจันทร์) 11.00-14.30 น. 17.30-22.30 น.
โทร. 02-115-6466 , 097-067-6350
www.facebook.com/LovemetenderThailandalaplancha

 

The Bar Upstairs

หากใครที่ยังคงหลงใหลในเสน่ห์ของความเก๋แบบฝรั่งเศส ลองแวะมาที่ The Bar Upstairs บาร์ไวน์สุดเก๋บนชั้น 3 ของร้าน Brasserie Cordonnier ที่มอบบรรยากาศบ้านร้างสไตล์โพรวองซ์ในมุมที่เก๋ เท่ แต่ลึกลับ ในยามค่ำคืน ภายในเน้นการใช้ผนังปูนเปลือย และตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ทั้งภายในและภายนอก เข้ากันเป็นอย่างดีกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม และตู้เก็บไวน์ชั้นยอดกว่า 150 ชนิดจากทั่วโลก เหมาะสำหรับทุกความต้องการในเรื่องของไวน์ สำหรับมือใหม่หัดดื่มไปจนถึงมาสเตอร์ผู้คร่ำหวอดในวงการไวน์ 

FULL REVIEW
 

บรรยากาศสุดลึกลับและน่าค้นหา บนชั้น 3 ของร้าน Brasserie Cordonnier

แน่นอนว่าที่นี่เน้นการนำเสนอเมนูสไตล์ฝรั่งเศสเป็นหลัก แต่จะแตกต่างไปจากที่อื่นด้วยคอนเซ็ปต์การ Sharing ที่เน้นให้กลุ่มเพื่อน ครอบครัวหรือคนรัก ได้มีปฎิสัมพันธ์กันในยามดินเนอร์ ภายใต้บรรยากาศสุดชิลล์และเสียงดนตรีคลาสสิกที่เคล้าคลอไปตลอดคืน

สำหรับเมนูรองท้องเมนูแรก เริ่มต้นกันที่ Burgandy Snails (390 บาท) ของเด็ดของดีจากแคว้นเบอร์กันดี แคว้นที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตหอยทากคุณภาพดีที่สุดของประเทศฝรั่งเศส ทางร้านนำมานึ่งกับน้ำสต๊อก จากนั้นนำไปอบกระเทียม เนย พาสลีย์และเหล้าพาสติส เพื่อเพิ่มรสชาติและความชุ่มฉ่ำให้กับเนื้อหอยทาก 

 

Burgandy Snails (390 บาท)

จากนั้นไปจัดเต็มกับชุด The Chef’s Picnic (1,700 บาท) ชุดปิกนิกที่เหมาะสำหรับลูกค้าตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป ที่ทางร้านได้ไอเดียมาจากวัฒนธรรมการแชร์อาหารของคนเกือบทุกประเทศ โดยทางร้านจะเสิร์ฟเป็นตะกร้าปิกนิกขนาดใหญ่พร้อมผ้าปูโต๊ะสวยงาม ให้บรรยากาศราวกับเข้าไปนั่งปิกนิกอยู่ในสวนสาธารณะกับกลุ่มเพื่อน ซึงเมนูในตะกร้านั้นจะผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน ซึ่งจะประกอบไปด้วยเมนูรองท้องทานง่าย และเมนูที่หนักท้องขึ้นมาหน่อย ปิดท้ายกันด้วยของหวานตบท้ายมื้อ 

 

The Chef’s Picnic (1,700 บาท)

สำหรับใครที่เป็นชีสเลิฟเวอร์อย่าลืมลอง Croque Monsieur (330 บาท) เมนูทานง่ายที่ใคร ๆ ก็ชื่นชอบ แซนด์วิชอบร้อนชิ้นโตสอดไส้ชีสเยิ้ม ๆ เบค่อนกรอบและคลาสสิกซอสสูตรพิเศษของฝรั่งเศษ เสิร์ฟพร้อมกับสลัดผัก 

 

Croque Monsieur (330 บาท)

The Bar Upstairs
ชั้น 3 Brasserie Cordonnier สุขุมวิท 11
เปิดทุกวัน เวลา 17.00 - 02.00 น.
โทร. 02-821-5110
www.facebook.com/upstairsbkk

 

KIKA

สัมผัสเสน่ห์ของความเป็น Spanish ในร้าน KIKA ร้านอาหาสเปนสไตล์ทาปาส ที่นำเสนอหลากหลายเมนูความอร่อยภายใต้คอนเซ็ปต์ Small Plate Big Flavors ที่คัดสรรเชฟมากฝีมือมารังสรรค์อาหารที่มีกลิ่นอายของความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนแท้ ๆ แต่ยังคงสนับสนุนเลือกใช้วัตถุดิบของไทยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ตัวร้านตกแต่งในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ ที่ดูเท่แต่เรียบง่าย โดยทางร้านแบ่งออก 2 ชั้นด้วยกัน ที่ชั้นแรกเปิดเป็น Open Kitchen ให้ลูกค้าและเชฟได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น สามารถปาร์ตี้สังสรรค์กับกลุ่มเพื่อได้อย่างสนุกสนาน ในส่วนของชั้นสองมีบาร์เครื่องดื่มไว้คอยรองรับและครีเอทเมนูค็อกเทลน่าลิ้มลอง ให้ได้จิบกันเพลิน ๆ ตลอดค่ำคืน

FULL REVIEW
 

บาร์เท่ ๆ บนชั้น 2 ของร้าน

เริ่มต้นกันด้วยเมนูอาหารยอดฮิตสไตล์สเปน อย่าง Spanish Cold Cuts (690 บาท) ที่คัดสรรแฮมคุณภาพดีไม่ว่าจะเป็น Morcon lberico Jamon Serrano Chorizo lberico จากประเทศสเปน มาเสิร์ฟพร้อมกันกับชีส Manchego กับ ldiazabal และไอโอรี่ซอส 

 

Spanish Cold Cuts (690 บาท)

ต่อกันที่เมนูอาหารจานหลักน่าลองอย่าง Soccarat Rice (290 บาท) หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อของ Paella ข้าวผัดสเปน ที่ผัดด้วยเครื่องและซอสสูตรพิเศษ ราดด้วยมายองเนส ท็อปด้านบนด้วยกุ้งย่างพอดีคำ 

 

Soccarat Rice (290 บาท)

ปิดท้ายกันด้วยเมนูที่คนรักเนื้อไม่ควรพลาดอย่าง Beef Striploin (320 บาท) สเต๊กเนื้อย่างแบบมีเดียมแรร์ ให้ความนุ่ม ฉุ่มช่ำของเนื้อ เสิร์ฟมาคู่กับซอสเกรวี่

 

Beef Striploin (320 บาท)

KIKA
ซอยคอนแวนต์ สีลม
เปิดทุกวัน เวลา 17.00 - 01.00 น.
โทร. 095-592-0510
www.kika-bangkok.com

5

House on Sathorn

 

House on Sathorn

ปิดท้ายกันด้วย House on Sathorn ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่น บนอาคารหลังเก่า สมัยรัชกาลที่ 5 และอดีตสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ซึ่งอาคารหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม W Bangkok และอดีตบ้านของหลวงสาทรราชายุกต์ ภายในร้านนำเสนอหลากหลายเมนูอาหารที่ถูกครีเอทจากเรื่องราวการเดินทางของ Chef Faith Tutak เชฟชาวตุรกีผู้มากความสามารถและมีประสบการณ์จากร้านอาหารชื่อดังในหลายประเทศ 

 

บรรยากาศภายในร้าน ที่ถูกรีโนเวทขึ้นใหม่จากอาคารโบราณหลังเก่าในสมัยรัชกาลที่ 5

แนะนำให้เปิดมื้ออร่อยมื้อนี้ ด้วยเมนู Pier 9 (1,950 บาท) กุ้งแม่น้ำไซส์ใหญ่ เนื้อแน่น ในส่วนหัวทางร้านนำมันกุ้งมาผสมกับเครื่องเทศที่ให้รสชาติคล้ายต้มยำ จากนั้นจึงเอาไปย่างบนเตาถ่านให้สุกน่าทาน เสิร์ฟพร้อมกับเพียวเร่ฟักทองญี่ปุ่น

 

Pier 9 (1,950 บาท)

หรือจะลองเป็น Deep & Shallow (680 บาท) เมนูซีฟู้ดที่ให้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ทางร้านคัดสรรหอยแมลงภู่คุณภาพดีเสิร์ฟมาบนหมึกที่เชฟเลือกปรุงเบา ๆ ด้วยเกลือและพริกไทยเพื่อคงรสชาติเอาไว้ เสิร์ฟมาพร้อมกับ Horshradish Snow และ Salty Fingers 

 

Deep & Shallow (680 บาท)

ปิดท้ายกันด้วยขนมน่าลองอย่าง On The Way to Silom (350 บาท) ที่เชฟนำกล้วยปิ้งแบบไทย ๆ มาเสิร์ฟในใบหัวปลี ท็อปด้านบนด้วยซอสคาราเมลและเนยถั่ว และใช้มูสกล้วยผสมกับลิควิดไนโตรเจนตกแต่งให้เป็นหิมะสีขาวน่าทาน

 

On The Way to Silom (350 บาท)

The House On Sathorn
สาทรเหนือ
เปิดทุกวัน เวลา 12.00 - 00.00 น.
โทร. 02-344-4000
www.thehouseonsathorn.com