OmakaHed วัตถุดิบจากดินสู่อาหารจานเห็ด ครีเอตความอร่อยเด็ดตามใจเชฟลุงรีย์

Published on October 23, 2025

'ใครชอบกินเห็ดยกมือขึ้น’ 


เมื่อพูดถึง ‘เห็ด’ หนึ่งในวัตถุดิบที่มีประโยชน์ทางโภชนาการ อุดมไปด้วยแหล่งโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และแน่นอนว่าไม่ว่าอาหารสัญชาติไหนก็นิยมนำเห็ดมาสร้างสรรค์มื้ออร่อยอยู่เสมอแล้ว การที่ใครสักคนหนึ่งที่ชอบกินเห็ดมาก ๆ จะลุกขึ้นมาเปิดร้านอาหารที่ครีเอตสารพัดเมนูจากเห็ดที่ตัวเองลงมือทำฟาร์มเห็ดเองอย่างจริงจัง นับเป็นความพิเศษซึ่งยากที่ใครจะเลียนแบบได้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ร้านอาหารมีการแข่งขันสูง ทั้งเรื่องของวัตถุดิบที่ใช้และทิศทางการเติบโตที่รวดเร็ว แต่สำหรับ ‘OmakaHed by Uncleree Farm’ ร้านอาหารเล็ก ในย่านเพชรเกษม-บางแคแห่งนี้ กลับเลือกที่จะ ‘แข่งเบา’ สรรสร้างทุกอย่างจากสิ่งที่มีและเป็นตัวเองให้มากที่สุด ด้วยความเรียบง่ายที่หนักแน่นด้วยปรัชญา ความรู้ความเข้าใจในรากฐานของการใช้ชีวิตจริง


ครั้งนี้ Behind The Taste จึงขอพาทุกคนไปสัมผัสความเจ๋งและทำความรู้จักกับ ‘OmakaHed’ ร้านโอมากาเสะที่เสิร์ฟสำรับเห็ดแห่งนี้กันให้มากขึ้น ด้วยแนวคิด การวางแผนทิศทางการเติบโตอย่างช้า ๆ แต่ว่ายั่งยืนของ ‘ลุงรีย์-ชารีย์ บุญญวินิจ’ เจ้าของร้าน ผู้มองเห็นคุณค่าของ ‘เห็ด’ วัตถุดิบจากดินมาต่อยอดเป็นหลากหลายความอร่อย พร้อมพัฒนาพื้นที่นี้ให้เป็นทั้งฟาร์ม ร้านของชำที่ขายของจากเห็ดและผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม และร้านอาหาร เพื่อต้อนรับเหล่าบรรดาคนที่ชอบและสนใจอยากลิ้มลองเห็ดในรูปแบบ ‘โอมากา(เสะ)เห็ด’ ได้รับประสบการณ์ที่ดีและความประทับใจกลับไป เบื้องหลังเรื่องราวกว่าจะมาเป็นร้าน OmakaHed และฟาร์มลุงรีย์ ได้สำเร็จตามความตั้งใจจนถึงทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ลองติดตามจากบทสัมภาษณ์นี้กันเลย

 

‘ลุงรีย์-ชารีย์ บุญญวินิจ’ เจ้าของร้าน

ผลิกดินสู่ฟาร์มเห็ด


จุดเริ่มต้นของร้าน OmakaHed มาจาก ‘ลุงรีย์’ หรือ ‘คุณชารีย์ บุญญวินิจ’ ผู้ผูกพันและหลงใหลในดิน โดยเขาเป็นคนหมักดินเก่ง และสามารถเลี้ยงไส้เดือนจนเกิดมีปุ๋ยมูลไส้เดือน แม้เขาจะไม่ได้เป็นเกษตรกรโดยตรง เพราะเรียนจบในด้านเซรามิกดีไซน์ แต่กลับทำการเกษตรด้วยความตั้งใจดีที่อยากใช้พื้นที่บ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่ต้องทิ้งไปอย่างสูญเปล่า ตั้งแต่เศษดินไปจนถึงเศษอาหาร


“ผมทำเกษตรมาได้ประมาณ 12 ปี จุดเริ่มต้นมาจากความตั้งใจที่จะใช้พื้นที่บ้านให้มีประโยชน์ เพราะผมเติบโตมาในพื้นที่ที่ใช้งานผิดลักษณะ เช่น ที่จอดรถไม่ได้จอด เต็มไปด้วยของสะสม ผมเลยอยากให้ครอบครัวได้มีพื้นที่ที่สามารถใช้สอยได้จริง ในครอบครัวไม่ได้มีพื้นฐานของการเป็นเกษตรกรโดยตรง แต่เรามีพื้นฐานของการเป็นชาวสวน เพราะสมัยก่อนพื้นที่แถวนี้เป็นสวนทั้งหมด สิ่งที่อยู่ในหัวผมคือเราไม่มีต้นทุนอะไรเลย นอกจากขยะอาหาร ขยะอาหารพวกนี้มีเยอะมาก เห็นแล้วรู้สึกเสียดาย รากความคิดของเราคือการทำให้ทุกอย่างนั้น Useful หรือคุ้มค่าที่สุด เลยเริ่มจากการจัดการขยะอาหารให้เป็นปุ๋ยโดยใช้ไส้เดือน อยากให้สิ่งที่ผ่านมือเรามีประโยชน์”


จากความเชื่อที่ว่ากรุงเทพฯ ไม่มีต้นทุนอะไรเลย ยกเว้นขยะอาหาร ลุงรีย์จึงเริ่มจัดการขยะอาหารให้เป็นปุ๋ย โดยมีไส้เดือนเป็นหัวใจสำคัญ จุดเริ่มต้นที่เล็ก นี้เองที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักเลี้ยงไส้เดือนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของไทยเลยก็ว่าได้

 

บรรยากาศภายในร้านกับการเสิร์ฟความอร่อยในรูปแบบตามใจเชฟ

“จริง ๆ แล้ว ผมเป็นนักเลี้ยงไส้เดือน เพราะเราเริ่มต้นจากฟาร์มเล็ก ๆ ที่คนสามารถทำตามได้ แต่พอคนมาหาที่ฟาร์ม เขาก็อยากจะรู้ว่ามีอะไรให้กินบ้าง เพราะไส้เดือนกินไม่ได้ คนจะจินตนาการว่าฟาร์มต้องมีต้นไม้เขียว ๆ แต่ฟาร์มของเรามีแต่ไส้เดือนกับปุ๋ย เราเลยมองหากสิกรรมที่ทำในร่มได้ ก็นำมาสู่การปลูกเห็ดครับ


เราเลือกปลูกเห็ด Milky Queen Mushroom ซึ่งเป็นเห็ดที่ชอบอากาศร้อนแล้วก็ร้อนมาก ฟาร์มเห็ดทั่วไปที่เปิดกันจะต้องการน้ำและความเย็นสูงมาก ซึ่งทำให้ควบคุมยาก มีปัญหาเรื่องรา และค่าไฟเยอะ แต่เห็ดที่เราเลือกปลูกนั้นสามารถทำได้ทันทีในห้องร้อน ๆ ที่บ้านเลย”

 

ฟาร์มเห็ดของลุงรีย์

 

Milky Queen Mushroom

การตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการสังเกตและวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะปลูกการเห็ดชนิดนี้ เหมาะสมกับสภาพอากาศในไทย ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ OmakaHed พิเศษยิ่งขึ้น นั่นคือการที่เห็ดของเขานั้นสามารถออกตามคิวได้ตามที่ต้องการ “เราปลูกเห็ดชนิดเดียว ถ้าปลูกหลายชนิดมันจะอ่อนแอ และที่สำคัญคือเห็ดของเราสามารถจัดเรียงได้ว่าจะใช้เท่าไหร่ เพราะเราขี้เสียดาย เราจะไม่ปล่อยให้เห็ดออกเยอะ ๆ แล้วต้องเร่งตัวเองขาย นี่คือที่มาของการ Booking การกินเห็ด ที่เป็นระบบอย่างสมเหตุสมผล เห็ดเหมือนเป็นรางวัลของการรักษาดินให้ดี เลยใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหารอร่อย ๆ ให้คนอื่นได้กินด้วย” นับจากนั้นเป็นต้นมา ‘เห็ด’ จึงกลายมาเป็นวัตถุดิบหลักที่ถูกนำมาเสิร์ฟบนสำรับอาหาร ตามอย่างที่ลุงรีย์ตั้งใจไว้

 

ปลูกเห็ด Indoor ง่าย ๆ ตามสไตล์ลุงรีย์

OmakaHed ร้านอาหารที่เสิร์ฟสำรับเห็ดสุดพิเศษตามใจเชฟ


“OmakaHed เป็นสำรับเห็ด 7 อย่าง ที่สามารถอธิบายได้ว่าเห็ดที่เราปลูกทำอะไรกินได้บ้าง ลูกค้าหลักของเราคือ คนชอบกินเห็ด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นมังสวิรัติเท่านั้นนะ เรามีหน้าที่ปรุงเห็ดให้อร่อย ทำเมนูเห็ดให้กินเข้ากับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ได้อย่างอร่อย


อาหารที่เราเสิร์ฟเป็นอาหารไทย แต่หน้าตาอาจจะเหมือนญี่ปุ่นหน่อย เน้นเป็นของแนม ของแกล้ม และเครื่องเคียงหลาย ๆ อย่าง ซึ่งไอเดียทำอาหารของเราจะเป็นการเลือกที่จะแข่งเบาครับ ในยุคที่ร้านอื่นเขาแข่งกันเสิร์ฟเมนูหนัก ๆ เราขอเลือกนำเสนอความสดใหม่ของวัตถุดิบที่เรามี ซึ่งเห็ดที่เราทำออกมากินได้หลายแบบ ทำได้หลายเมนู ลูกค้าที่มาที่ร้านต้องไว้ใจกันมาก เพราะสิ่งที่มหัศจรรย์คือ เขามานั่งกินโดยที่ไม่รู้ว่าเราจะเสิร์ฟอะไร แต่มาที่นี่นอกจากได้แวะมากินข้าวแล้วยังได้ประสบการณ์ดี ๆ ร่วมกันบนโต๊ะอาหารแน่นอน”

 

เบื้องหลังการรังสรรค์ความอร่อย

เมื่อครัวคือสนามทดลองของการปรุงอาหารอย่างหมดจด


ลุงรีย์ คือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดร่วมระหว่างเกษตรกร เชฟ และผู้ประกอบการ ได้ออกแบบเมนูโอมากาเห็ด 7 อย่าง โดยลูกค้าได้มอบความไว้วางใจให้เขาและทีมงานเป็นผู้ปรุงอาหารจากสิ่งที่สดใหม่และดีที่สุดของวันนั้น ซึ่งเมนูสร้างสรรค์เหล่านี้เกิดจากการแก้ปัญหาในชีวิต และการใช้ทุกส่วนของวัตถุดิบอย่างหมดจด ตั้งแต่ต้นจนถึงรากของวัตถุดิบอย่างแท้จริง

 

นำส่วนต่าง ๆ ของเห็ดมาใช้อย่างคุ้มค่า

“เมนูทั้งหมดเกิดจากการแก้ปัญหาในชีวิตและการจัดการทุกอย่างให้หมดจดที่สุด เราไม่ชอบเห็นของเหลือทิ้ง เลยจะคิดเมนูตามวัตถุดิบที่เรามีในวันนั้น เช่น ถ้ามีเห็ดอะไร ก็จะถูกนำไปปรุงอาหารเมนูต่าง ๆ อย่างวันที่ผักชีเยอะ ก็อาจจะทำเป็น ยำ 3 ผักชี และรากผักชีก็จะถูกส่งไปทำซุป การเจียวกระเทียมก็ได้น้ำมันพริก ซึ่งนำไปทำเห็ดแมงกะพรุนน้ำมันงา ดอกเห็ดอ่อนอายุ 5 วัน นำไปทำเป็นซาชิมิเห็ด โดนไฟและเกลือเพียงเล็กน้อย ทำให้ได้โปรตีนสูงและตัวเห็ดนั้นหอมเหมือนปลาตาเดียว ส่วนเห็ด Milky Queen ที่ให้เนื้อสัมผัสหนึบหนับคล้ายปลาหมึกก็นำมาย่างเป็นสเต๊กเห็ด เสิร์ฟคู่กับเกลือเวียดนาม ข้าวคั่ว และพริกป่น คือเราพยายามใช้ทุกส่วนของวัตถุดิบจริง ๆ ครับ”

 

ส่วนต่าง ๆ ของเห็ด Milky Queen ที่ถูกนำมาครีเอตเป็นสำรับอาหารจานอร่อย

 

เห็ดของลุงรีย์ผ่านการปรุงอาหารด้วยหลากหลายกรรมวิธี

“สิ่งที่อยากบอกลูกค้าคือ ร้านของเราไม่ได้เสิร์ฟอาหารเจ ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างซึ่งทำให้เราทำงานยาก และไม่ได้เป็นร้านมังสวิรัติ แต่เรามี Vegan Option สำหรับมังสวิรัติ นอกจากเห็ดแล้วก็เลือกเสิร์ฟเมนูที่เน้นใช้วัตถุดิบจากเนื้อปลาและพืชผักสมุนไพรท้องถิ่นเป็นหลัก”

 

ลุงรีย์ลงมือปรุงอาหารเองสุดฝีมือ

ปรัชญาการปรุงอาหารของลุงรีย์คือการทำให้ทุกอย่างหมดจดอย่างที่วัตถุดิบควรจะเป็น ประกอบไปด้วยเห็ดที่จำแนกเป็นส่วน ๆ ทั้งส่วนหัว ก้าน ครีบ ผิว โคน และมีดอกเห็ดเป็นตัวชูโรง เมนูทั้งหมดที่ร้านจึงเกิดจากการแก้ปัญหาในชีวิตและการจัดการเศษวัตถุดิบให้คุ้มค่าที่สุด ร้านอาหารแห่งนี้จึงเป็นเหมือนห้องทดลองหรือสนามทดลองที่มีการเก็บข้อมูลตลอดเวลาว่าวัตถุดิบอะไรเข้ากันได้ดี แม้จะหน้าตาคล้ายอาหารญี่ปุ่น แต่ลุงรีย์ยืนยันว่าสไตล์อาหารของ OmakaHed คือ อาหารไทยที่เน้นการกินเป็นของแนม ของแกล้ม หรือเครื่องเคียงหลาย อย่างในลักษณะเดียวกับการนำน้ำพริกมาทำเป็นแฮนด์โรลของชาวญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้เกิดจากการศึกษาเห็ดทุกส่วนอย่างถ่องแท้ จนเกิดการพลิกแพลงเป็นเมนูต่าง ๆ ที่จำแลงเห็ดให้เป็นเมนูใหม่และเมนูที่หลายคนอาจคุ้นเคย


ลุงรีย์ยังเสริมอีกว่า เพราะร้านนี้มีคอนเซ็ปต์ว่า ‘โอมากาเห็ด’ จึงไม่ยึดติดกับคําว่าใช้เห็ดของฟาร์ม เพราะต่อให้ไม่มีเห็ดของฟาร์ม ก็ยังนำวัตถุดิบจากแหล่งอื่น ๆ มาทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดเลี้ยง เห็ดป่า เห็ดตามฤดูกาล ไปจนถึงเห็ดของเพื่อนในเครือข่ายที่เขารู้จักอีกด้วย

 

พิถีพิถันทุกขั้นตอน

สำรับอาหารกับหลากหลายเทคนิคการปรุงและนำเสนอ


ลูกค้าที่มาที่นี่ต้องมอบความไว้วางใจให้ลุงรีย์ เพราะเป็นสำรับ Omakase ที่ไม่มีเมนูตายตัว และลูกค้าสามารถเลือกรับประทานก่อนหลังหรือจับคู่ความอร่อยกันได้ตามใจชอบ ไม่ต้องกลัวผิดหรือถูก เพราะที่นี่เชื่อว่าลูกค้าจะเป็นคนที่คอยช่วยคิดและสนุกไปกับการสร้างสรรค์เมนูใหม่ เสมอ


“เมนูแรกที่เสิร์ฟมีความคล้ายบาลาฉ่อง (น้ำพริกพม่า) ซึ่งก็มีความคล้ายกับผงโรยข้าวญี่ปุ่นด้วยเหมือนกัน เราใช้พวกเศษเห็ดต่าง ทั้งหมดจากกระบวนการเจียว รวมถึงงาหอม และส่วนอื่น ที่ตัดไม่สวยงามมาเจียวทั้งหมด ซึ่งทำให้เราได้น้ำมันเห็ด ซึ่งเป็นเบสสำคัญที่ถูกนำไปใช้ต่อในเมนูอื่น ๆ”


ตามมาด้วย ‘เห็ดแมงกะพรุนน้ำมันงา’ ความพิเศษคือเป็นเมนูที่ทำมาจากน้ำมันเห็ดและน้ำมันพริกที่ได้จากการเจียวกระเทียม เจียวหอมแดง เจียวพริก เสิร์ฟแบบเป็นกับแกล้ม หรือเป็นกับข้าวที่ลูกค้าสามารถเลือกรับประทานแบบ Hand Roll ห่อสาหร่ายเหมือนอาหารญี่ปุ่นได้ด้วย


 

สำรับเห็ดสุดพิเศษสไตล์ OmakaHed

ซุปรากผักชี’ เมนูที่นำรากผักชีที่เหลือจากการทำเมนูยำมาทำเป็นซุปมิโสะที่ใส่รากผักชีด้วย ได้รสชาติจะแปลกน่าลอง, ‘เห็ดกงฟีต์’ เป็นการนำเห็ดส่วนที่ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบมาปรุงอาหารด้วยเทคนิคกงฟีต์ นอกจากนี้ยังมีการแปรสภาพเห็ดทำเป็นซุปน้ำมันและแจ่วสูตรเฉพาะ, ‘ซาชิมิเห็ด’ เป็นการเสิร์ฟดอกเห็ดอ่อนแล่บาง เบิร์นไฟนิดหน่อย โรยเกลือเล็กน้อย ให้รสชาติและกลิ่นหอมเหมือนกำลังทานปลาตาเดียว, ‘เห็ดแบบหอยเชลล์เป็นการหั่นเห็ดในรูปแบบที่เลียนแบบ หอยเชลล์, ‘เห็ดฉีกมือทำเป็นเหย่า (คล้ายเห็ดซีอิ๊ว) ใช้เทคนิคการฉีกเห็ดด้วยมือ เพื่อทำเป็นเหย่ากับน้ำมัน เสิร์ฟคู่กับวัตถุดิบอื่นอย่างหน่อไม้จีนที่ทำเป็นเส้นเหมือนบะหมี่, ‘สเต๊กเห็ด’ เป็นการเลือกใช้เห็ดส่วนที่ให้เนื้อสัมผัสหนึบหนับ หั่นแบบทั้งดอก เมื่อนำไปย่างแล้วจะมีลักษณะเหมือนปลาหมึก เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ใช้ความเปรี้ยวจากมะนาวหรือจากตะลิงปลิง ตามวัตถุดิบที่มีในฤดูกาลนั้น ๆ พ่วงด้วยเกลือหลากหลายรูปแบบที่ทางร้านทำเอง

 

สเต๊กเห็ด

“สำหรับจานไฮไลท์อย่างสเต๊กเห็ด เราจะมีเกลือที่หลากหลายแบบที่เราชอบทำ เช่น เกลือหยาบ เกลือละเอียด เรามีเกลือเวียดนาม ข้าวคั่ว และพริกป่น เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกรับประทานอย่างสบายใจ”


จากนั้นจัดเต็มความอร่อยด้วยจานหลักกับเมนู ‘เห็ดกับปลา’ เป็นการเสิร์ฟเห็ดสลับกับปลา โดยเลือกใช้เนื้อปลาคามาจิที่ให้รสค่อนข้างมัน เคลือบด้วยเกลือและน้ำตาลแดงให้ขึ้นเงาสวย ชวนรับประทาน เมื่อลูกค้าได้ทานสลับกับเห็ดแล้ว มักจะอุทานว่า "เห็ดรสชาติเหมือนปลาเลย" ซึ่งเป็นความลงตัวที่เข้ากันได้ดี

 

เห็ดกับปลา

ปิดท้ายด้วย ‘ไอศกรีมซอร์เบท์เห็ด’ ไอศกรีมที่ร่วมออกแบบกับแบรนด์จินตะ โฮมเมด ไอศกรีม (Jinta Homemade Icecream) โดยมีโจทย์คือ 'กินเห็ดแล้วไม่เหมือนกินเห็ด'  ซึ่งต่างจากไอศกรีมเห็ดทั่วไปที่มักมีกลิ่นเห็ดจ๋า ๆ เน้นโทนที่ให้ความสดชื่น เช่น โกโก้สด (คาเคา) และผลไม้รสสดชื่นอย่างลิ้นจี่หรือลำไย หากโกโก้สดหมดฤดูกาล สามารถใช้ข้าวหมากแทนได้ ทั้งยังให้คุณสมบัติเป็นโพรไบโอติกธรรมชาติเช่นเดียวกับการดื่มคอมบูฉะ เสิร์ฟพร้อมบ๊วยดอง ซึ่งเป็นการทดลองที่รวมรสชาติของเห็ด บีทรูท และลิ้นจี่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

 

ไอศกรีมซอร์เบท์เห็ด

วางแผนสานต่อธุรกิจด้วยความเข้าใจ 

ประสบความสำเร็จแบบค่อยเป็นค่อยไป


ปัจจุบัน OmakaHed ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหาร แต่เป็น Village หรือหมู่บ้านเล็ก ที่สามารถจัดการได้ทั้งขยะอาหารและขยะพลาสติก ซึ่งลุงรีย์มองว่าการเติบโตของธุรกิจในอนาคตจะไปในสองทิศทางหลัก คือ ‘Local’ การทำเมนูอร่อยเรียบง่ายที่ไม่ซับซ้อน ติดดิน และเข้าถึงง่าย และ ‘Innovation’ การสานต่อนวัตกรรม อย่างการนำเห็ดไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขยายสเกลได้ เช่น บะหมี่เห็ด หรือผงชูรสเห็ด เป็นต้น โดยเขาได้ให้ข้อคิดสำคัญสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภคไว้ว่า อย่าเพิ่งรีบให้ตัวเองเป็น Number One เร็วเกินไปความสำเร็จที่ยั่งยืนนั้นต้องใช้การวางแผนที่ละเอียดกว่าแค่การทำธุรกิจ ต้องเข้าใจไทม์ไลน์ของชีวิต และรู้จักความพอดีกับตัวเอง


“องค์กรเรามีบุคลากรในครัวและฟาร์มรวมกันไม่เกิน 5 คน แต่เราสร้าง Impact ทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้ หัวใจสำคัญคือ การวางแผน วางไทม์ไลน์ และความต่อเนื่อง การวางแผนของเรานั้นละเอียดกว่าการร้องขอ เพราะเราขี้กลัว และเราก็ไม่กล้าขยายใหญ่ หากจะใหญ่ก็ต้องไปช้า ๆ เราเลือกที่จะขยายด้วยการทำให้เล็กลง เช่น ร้านเล็กลง ลูกค้าน้อยลง แต่รายได้เท่าเดิม นี่คือการเติบโตขึ้นในมุมของเรา เพราะเราใช้เวลาทำงานน้อยลงจากเดิมครับ


ธุรกิจของเรา นอกจากร้านอาหารแล้วเรายังมี Workshop ให้ความรู้เกี่ยวกับการเพาะเห็ด การทำเกษตร และการจัดการขยะอาหาร การทำของหมักดอง (Fermentation) ตอนนี้ฟาร์มของเราเริ่มเป็นเหมือนหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่จัดการได้ทั้งขยะอาหารและขยะพลาสติก ร่วมกับภรรยาที่เคยทำร้าน Refill มาก่อน เพื่อสร้างอาชีพในชุมชน พยายามทำร้านเป็นเหมือนร้านชำ (Grocery) เล็ก ๆ ที่ขายสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบ เช่น น้ำพริก หรือเกลือที่ใช้ในร้านจริง ๆ เพื่อให้เขาสามารถนำไปปรุงอาหารทานเองที่บ้านได้”

 

เรื่องเล่าหลากรสกับฉากหลังร้านชำของลุงรีย์

ความสุขของลุงรีย์


“ความสุขของผมเรียบง่ายมาก คือ กินอิ่มนอนหลับ และการที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา ได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่า เมื่อก่อนผมเคยเป็นเด็กเกเร กินเหล้าโต้รุ่ง แต่วันนี้ผมกลายเป็นคนที่รู้สึกว่าการดื่มเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะทุกวันนี้เราอยากใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าครับ”


ส่วนการตัดสินรสชาติอาหารนั้น ลุงลีหวังว่าผู้บริโภคอย่างเราจะตัดสินกันช้าลง เพราะทุกคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตอาจจะยังไม่เก่ง หรือกำลังปรับตัวอยู่การชิมที่น่ารัก คือการมองให้เห็นข้อดีของเขา” การพูดถึงสิ่งดี เพียงเล็กน้อยที่เราได้รับจากมื้ออาหารนั้นคือ กำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


นอกจากนี้เขายังส่งมอบความเชื่อส่วนตัวในปรัชญาของการรู้จักความพอดีของตัวเรา เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักธุรกิจ เจ้าของร้านอาหารทุกคน เพราะความสำเร็จที่ยั่งยืนนั้นต้องมีการตกผลึก มีระหว่างทาง ผมเห็นตัวอย่างจากฟาร์มที่ญี่ปุ่น ที่ส่งต่อความภาคภูมิใจจากรุ่นสู่รุ่นได้ หากเป็นคนขี้กลัวอย่างผม เราต้องตามหาลูกค้าของเราให้เจอ แล้วดูแลลูกค้าของเราให้ดีที่สุด”

 

ลุงรีย์และ Milky Queen Mushroom ของเขา

“เราเป็นคนนึงที่ไม่เร่งรีบที่จะต้องประสบสำเร็จ แต่เราใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายในแบบที่เราไหว อย่างตอนนี้ผมตั้งเป้าว่าถึงอายุ 48 ผมจะเป็น Uncleree ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและส่งต่อความสุขให้กับส่วนรวมได้มากขึ้น ตอนนี้ผมเลยต้องใจดีกับตัวเองมาก ค่อย ๆ โต เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือการสร้าง Uncleree Village ให้แข็งแรง”


ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ลุงรีย์เลือกเติบโตบนพื้นฐานของการวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ และไม่รีบขยายใหญ่ ซึ่งร้าน OmakaHed แห่งนี้เปิดให้บริการเพียงแค่ช่วงสุดสัปดาห์ (ศุกร์-อาทิตย์) โดยจำกัดที่นั่งเพียง 13 ที่เท่านั้น นอกจากร้านอาหาร ยังมี Workshop และมีอีกหลากหลายกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาที่เชื่อในการรู้จักความพอดีกับตัวเอง OmakaHed จึงเป็นมากกว่าร้านอาหาร แต่เป็นบทเรียนของการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเข้าใจในทุกบริบท และใส่ใจในเรื่องของความคุ้มค่าอย่างแท้จริง

 

รอยยิ้มแห่งความสุข พร้อมด้วยฉากหลังบรรยากาศด้านหน้าร้าน OmakaHed

 

บรรยากาศสบาย ๆ ภายในร้าน

หากคุณอยากสัมผัสประสบการณ์ที่เน้นความพิถีพิถัน เสิร์ฟความอร่อยจากวัตถุดิบจากดินสู่สำรับเห็ดที่เสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร และเข้าใจถึงความหมายของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างไม่สูญเปล่า OmakaHed คือที่ที่คุณควรไปเยือนสักครั้ง



OmakaHed by Uncleree Farm

ซอยเพชรเกษม 46 แยก 11 เขตภาษีเจริญ (MRT สถานีเพชรเกษม 48)

เปิด วันศุกร์-อาทิตย์ รอบเวลา 12.00 น., 15.00 น. และ 17.00 น. (จองล่วงหน้าเท่านั้น) 

โทร. 098 795 9542

www.facebook.com/unclereefarm  

www.instagram.com/unclereefarm