เบื้องหลังความอร่อยสุดปังของ Oh! Juice แบรนด์สมูทตี้ ผู้นำเทรนด์น้ำผัก-ผลไม้ปั่นลักชัวรี
ชวนเหล่าฟู้ดดี้สายเฮลท์ตี้และสมูทตี้เลิฟเวอร์ มาสัมผัสเรื่องราวเบื้องหลังความอร่อยสุดปังของ ‘Oh! Juice ’ แบรนด์สมูทตี้ชื่อดังสัญชาติไทย ผู้นำเทรนด์น้ำผัก-ผลไม้ปั่นลักชัวรีที่นาทีนี้ใคร ๆ ก็อยากลอง !
ท่ามกลางกระแสเครื่องดื่มน้ำผัก-ผลไม้ปั่น ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไปไม่เพียงแต่กลุ่มคนรักสุขภาพ อย่างเมืองไทยเองก็เริ่มมีร้านสมูทตี้เพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ ‘Oh! Juice’ แบรนด์สมูทตี้ในเครือของร้านอาหารเพื่อสุขภาพอย่าง ‘โอ้กะจู๋’ ที่หลายคนต่างรู้จักเป็นอย่างดี
#BEHINDTHETASTE ในครั้งนี้ เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Oh! Juice กันให้มากขึ้น ถึงเบื้องหลังการสร้างแบรนด์สมูทตี้สุดพรีเมียม ผ่านการบอกเล่าของ ‘คุณเบญ-เบญญาภา เตชะมณีสถิตย์’ COO (Chief Operating Officer) ของแบรนด์ ที่จะมาไขข้อสงสัยกับหลายประเด็นที่เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จ เพราะไม่ว่าเครื่องดื่มนี้จะมีราคาสูงแค่ไหน ใคร ๆ ก็อยากตามไปเข้าคิวรอชิม อะไรบ้างที่ทำให้แบรนด์ Oh! Juice ได้การตอบรับอย่างล้นหลาม จนสามารถขยายความอร่อยได้มากถึง 15 สาขาภายในปีเดียว รวมถึงเรื่องราวระหว่างทางสู่ความสำเร็จของแบรนด์จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราไปติดตามจากบทสัมภาษณ์นี้กันได้เลย !
จากโอ้กะจู๋ ต่อยอดธุรกิจสู่ ‘Oh! Juice’
หลังจากที่แบรนด์สมูทตี้ Oh! Juice เปิดตัวครั้งแรกไปเมื่อเดือนพ.ค. 2567 ชื่อของแบรนด์ก็ได้กลายเป็นกระแส Viral ที่มีนักดื่มสายเฮลท์ตี้มารอเข้าคิวซื้อกันจนห้างแตก และถูกพูดถึงกันในโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ทำให้หลายคนอยากลองซื้อมาดื่มสักครั้งว่าจะอร่อยปังแค่ไหน โดยแบรนด์ Oh! Juice ที่ว่านี้อยู่ภายใต้เครือร้านสลัดชื่อดังอย่าง “โอ้กะจู๋” ที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี ก่อนมีการเปิดแบรนด์เพิ่มเติมเป็นแบรนด์สมูทตี้ที่เรียกได้ว่าต่อยอดกิจการเพื่อนำเสนอ Product ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
“ก่อนที่จะมาเป็น Oh! Juice ทีมเราจะขยายธุรกิจใหม่ ก็มีการ Brainstorm กันกับ Management Team ก็ได้ไอเดียมาหลายธุรกิจมาก ๆ คิดออกมาเป็น 4 Framework อันดับแรกคือ Size Market ขนาดธุรกิจที่เราจะทำต่อจากโอ้กะจู๋ต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร 2 คือเราสามารถสร้างความแข็งแรงให้กับโอ้กะจู๋ได้ 3 คือเราสามารถทำ Product หรือแบรนด์ใหม่ที่สร้างความแตกต่างได้ และ 4 เลยคือการใช้ result ที่มีอยู่ ตอนนั้นเราก็มีแบรนด์ มีคน มีวัตถุดิบ ประมาณนึงอยู่แล้ว ฉะนั้นเราเลยอยากจะใช้ตรงนี้ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ผลที่โหวตจากทีมก็ออกมาเป็นธุรกิจ Oh! Juice”
“เราเลือกทำ Oh! Juice เพราะมีฐานธุรกิจเดียวกัน ทั้งเรื่องของคนและวัตถุดิบที่เรามีอยู่แล้ว ปัจจุบันโอ้กะจู๋ก็จะใช้ SKU (Stock Keeping Unit หรือประเภทของสินค้า) อยู่ประมาณนึง ดังนั้นการที่เรามีวัตถุดิบที่เราปลูกเองจากฟาร์มของเรา มันค่อนข้างตอบโจทย์ สามารถต่อยอดผักผลไม้ที่เรามีอยู่แล้วมาทำเป็นเครื่องดื่ม แล้วก็ส่งมอบคุณค่าตรงนี้ ที่มาจากฟาร์มของเราเองไปสู่ผู้บริโภคอีกรูปแบบนึงได้ด้วย”
แบรนด์สมูทตี้ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม
“แบรนด์เราอยากจะตอบโจทย์ลูกค้าทุก ๆ กลุ่มให้ได้ ด้วยความหลากหลาย เพราะฉะนั้นก็เลยมีให้เลือกดื่มตั้งแต่ราคาเฟรนด์ลี่ ไปจนถึงคนที่ต้องการให้รางวัลชีวิตกับตัวเอง ด้วยเครื่องดื่มสมูทตี้ที่มีรสชาติซับซ้อนมากขึ้น มีวัตถุดิบที่เป็น Super Food มากขึ้น หรือที่เราเรียกว่าแก้วซิกเนเจอร์ค่ะ”
“บางคนอาจมองว่าเรื่องราคาเครื่องดื่มค่อนข้างแพง เราพยายามสื่อสารอยู่ว่าแบรนด์ Oh! Juice เรามองแบรนด์ในระยะยาว ไม่ได้มองเพียงแค่ว่าเป็นกระแสแบบฉาบฉวย เพราะฉะนั้นการที่จะคิด Product ออกมาอย่างหนึ่งมันต้องได้คุณค่าทั้งในเรื่องราคาและคุณภาพ รวมถึงการใช้บริการซ้ำ ซื้อซ้ำ เลยจะเห็นว่าเมนูเครื่องดื่มทุกแก้วมาจากต้นทุนของวัตถุดิบ ทางร้านยึดหลักเดียวกันในการคิด การขายสมูทตี้แก้วละ 200-300 บาท ของ Oh! Juice เกิดจากต้นทุนของวัตถุดิบที่เราเลือกสรรใส่ลงไปให้ในทุก ๆ แก้ว ลูกค้ามั่นใจได้เลยว่า มันเป็น Value of Price, Value of Quality จริง ๆ ค่ะ”
การคัดสรร ความพิถีพิถันทุกขั้นตอน
ในการครีเอตเมนูเครื่องดื่มสมูทตี้
“เราใช้เวลานานมากในการครีเอตเครื่องดื่ม อย่างเมนูหนึ่งต้องเทสต์ไม่ต่ำกว่า 30-40 แก้ว เพราะเราต้องดูเรื่องความเสถียรของรสชาติ ปั่นเสร็จแล้วเป็นแบบไหน ละลายแล้วเป็นยังไง ให้ทีมเทสต์ ซึ่งเป็นทีมพนักงานที่ออฟฟิศนี่แหละ มาให้คะแนนแต่ละแก้วว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ด้วยความชอบที่ต่างกัน เลยตั้ง Positioning กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย แต่ละเมนูจึงมีให้เลือกดื่มค่อนข้างเยอะค่ะ”
“ตามด้วยสร้างความแตกต่างในการนำ Super Food ต่าง ๆ เข้ามาใช้ อย่างแก้ว Ocean N Earth ก็มีสาหร่าย Blue Magic เพิ่มเข้ามา มีคอลลาเจน 5,000 มิลลิกรัม เสริมเข้าไป การทำสมูทตี้มันดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้ววัตถุดิบแต่ละตัวมันค่อนข้างจำเพาะเจาะจงมาก ๆ เช่น กล้วยหอม ต้องเทสต์กล้วยหลายแบบ เพื่อให้ได้ระดับความหวาน ความสุกกำลังดี ถึงแม้ว่าเป็นกล้วยหอมเหมือนกัน แต่ว่าไซส์กล้วย รวมถึงรสชาติ พอมาปั่นเป็นสมูทตี้แล้วก็ได้ความแตกต่าง หรือจะเป็นสับปะรดก็มีหลายพันธุ์ ค่อนข้างมีความยากในการที่เราต้องคัดสรรวัตถุดิบที่ดีจริง ๆ จนได้รสชาติที่ลงตัว ผสมออกมาเป็นสมูทตี้หนึ่งแก้ว สิ่งเหล่านี้แหละคือดีเทลของการคัดสรรวัตถุดิบ เป็นการเทสต์รสชาติจนมั่นใจแล้วว่ามันเป็นรสชาติที่ดีที่สุดค่ะ”
หลากหลายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของ Oh! Juice
อยากแนะนำให้ลอง
“ตอนนี้เมนูซิกเนเจอร์ของเรามี 6 เมนู แล้วก็เพิ่งเพิ่มมาอีกหนึ่งเมนูซึ่งครีเอตโดยคุณชมพู่-อารยา เป็น Brand Admirer ของเรา รวมกันเป็น 7 แก้วแนะนำค่ะ สำหรับความพิเศษของแต่ละแก้ว เริ่มต้นที่แก้วแรกกับเมนู ‘Ocean N Earth’ ตัวนี้หลัก ๆ เลยก็จะเป็นอะโวคาโด แล้วก็ Coconut Cream ซึ่งทุกเมนูซิกเนเจอร์จะมีการตกแต่งด้วย Coconut Cream บวกกับ Secret Ingredient ที่เรานำเข้าจากอเมริกา ทำให้รสชาติ Coconut Cream ของเราต่างจากที่อื่น ซึ่งจริง ๆ แล้ว Coconut Cream เป็น Healthy Fat (ไขมันดี) นะคะ ใส่ลงไปด้วยเพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติให้สมูทตี้มีความมัน มีความกลมกล่อมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสาหร่าย Blue Magic จากท้องทะเลที่มีสีฟ้า ตอนแรกคนไทยก็อาจจะยังไม่คุ้นชิน เพราะว่าโทนสีที่ได้คือฟ้าเลย แต่ว่ารับประทานได้ ทั้งยังได้สารอาหาร วิตามินต่าง ๆ จากสาหร่ายตัวนี้ เหมือนเป็น Super Food อย่างนึงที่เราคิดว่ามันคือการสร้างความแตกต่างและความแปลกใหม่ให้กับคนดื่มสมูทตี้
ตัวที่ 2 คือเมนู ‘Angel’s Secret’ ตอบโจทย์สายเฮลท์ตี้ เป็นเหมือนน้ำนางฟ้า เพราะเราใส่ Skin Bootster แบบ Max Dose ต่อวัน ในหนึ่งแก้วก็จะได้คุณประโยชน์ในเรื่องของผิวพรรณ จะเป็นเรื่องของคอลลาเจน โคเอนไซม์คิวเท็นต่าง ๆ แล้วก็จะมีมัลติโปรตีนที่เสริมเข้าไปในเครื่องดื่มด้วย ก็คือการรวมระหว่าง Plant-based Protein กับ Whey Protein เพราะฉะนั้นแก้วนี้ก็จะได้ทั้งเรื่องของหุ่น เสริมเรื่องการออกกำลังกาย เพราะมีโปรตีน และเรื่องของผิวพรรณ ส่วนรสชาติก็จะมีความหอมหวานของสตรอเบอร์รีสไตล์ผู้หญิง ๆ หน่อย”
“ถัดไปคือเมนู ‘King Green Mile’ แก้วนี้ก็จะพรีเซนต์ความเป็นโอ้กะจู๋มาก ๆ เลย เราจะใช้ผักสีเขียวต่าง ๆ บวกรวมกับมัทฉะ ดื่มแล้วจะได้ทั้งเรื่องของเอเนอร์จี้ แอนตี้ออกซิแดนท์ และได้ทานผักเยอะมากเลย ไม่ว่าจะเป็นใบบัวบก เคล ผักโขม ผักเบบี้สลัดต่าง ๆ แล้วก็ปั่นรวมกับถั่ว จำพวกอัลมอนด์บัตเตอร์
เมนู ‘Acai Antioxidant’ แก้วนี้จะมีส่วนผสมของอาซาอิที่ตอนนี้เป็นเทรนด์อยู่แล้ว ช่วยเรื่องของการแอนตี้ออกซิแดนท์ให้กับร่างกาย รสชาติก็จะหอมหวาน เปรี้ยว ๆ หน่อย แล้วเพิ่มความแปลกใหม่ด้วยเท็กซ์เจอร์ด้านล่างที่เป็น Shea Jelly ด้วยความที่วัตถุดิบเป็นผลไม้ล้วน ๆ ไม่ได้มีเบสที่เป็นโปรตีนใด ๆ พอทาน Shea Jelly เข้าไปก็จะช่วยให้อิ่มท้องมากขึ้น ได้ความบาลานซ์ของรสชาติและเรื่องของโภชนาการ ช่วยเติมมเอเนอร์จี้ให้กับการทำงานในระหว่างวัน
ส่วนแก้วถัดไปมีชื่อเมนูว่า ‘Passionate’ เบสวัตถุดิบหลักคือเสาวรส ซึ่งเสาวรสที่ใช้จะเป็นผลสด ไม่ใช้เสาวรสแช่แข็งเลย แก้วนี้ได้ทั้งรสทั้งกลิ่นหอมของเสาวรสรวมกับน้ำมะพร้าว ซึ่งดูแล้วอาจจะไม่เข้ากัน แต่ว่าแก้วนี้ได้การตอบรับจากชาวต่างชาติเป็นอย่างดีเลย ส่วนคนไทยที่ต้องการความรีเฟรช สดชื่น ๆ แก้วนี้ตอบโจทย์สุด ๆ แล้วก็เสิร์ฟความพิเศษด้วยการใส่ Combucha Jelly เป็นคอมบูฉะรสพีชที่ช่วยในเรื่องการทำงานของระบบลำไส้ มีพรีไบโอติกต่าง ๆ ที่ดีต่อร่างกาย”
“แก้วสุดท้ายคือเมนู ‘Material Girl Smoothie’ ที่เป็นของคุณชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต คุณชมพู่เป็นสมูทตี้เลิฟเวอร์ตัวจริงมาก เราก็มีการคุยกันเรื่องวัตถุดิบ คุณชมพู่ก็บอกว่าอยากได้เชอร์รี ก็ได้มีการเสาะหาเชอร์รีหลากหลายแบบส่งไปให้คุณชมพู่ลองปั่น ก็จะมีส่วนผสมของ Coconut Milk เชอร์รี แอปเปิ้ล กล้วย สับปะรดค่ะ แล้วก็เพิ่มความพิเศษด้วยบัลซามิกเชอร์รี เพราะว่าทุก ๆ เมนูเครื่องดื่มของ Oh! Juice คอนเซ็ปต์เราคือ 'No Hack, No Sugar Added' และ ‘Nutritious and Tastiest way possible’ เลยไม่ใส่น้ำตาล แต่แทนรสหวานอมเปรี้ยวด้วยบัลซามิก รสชาติของบัลซามิกก็จะมีความเปรี้ยวด้วย หอมด้วย มีความอร่อยลงตัวมากขึ้น ตามด้วย Super Food เป็น Sea Moss Gel ซึ่งร้านเราน่าจะเป็นร้านแรกเลยที่ใส่ โดย Sea Moss Gel เนี่ย เป็นสาหร่ายที่ได้จากท้องทะเลธรรมชาติ เราก็นำเข้ามาเป็น Gold Irish Sea Moss Gel ทานไปแล้วก็จะได้แร่ธาตุกว่า 100 ชนิด สาหร่ายตัวนี้จะช่วยเสริมแร่ธาตุที่ขาดให้กับร่างกาย ส่วน Super Food อีกตัวนึงที่เพิ่มเข้าไปก็คือ Electrolyte เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการประสานกล้ามเนื้อ ระบบประสาทต่าง ๆ ในร่างกาย ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการรักษาบาลานซ์ของน้ำในร่างกาย ก่อนจะเพิ่มแมกนีเซียมเข้าไปด้วย เพื่อให้รู้สึกว่าพอดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกเบาสบายตัว กลางคืนก็นอนหลับสบาย ยิ่งใครที่ชอบออกกำลังกายด้วยก็จะช่วยในเรื่องของกล้ามเนื้อ แก้วนี้ก็เลยตอบโจทย์ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของความอร่อยอย่างเดียว แต่ยังได้คุณประโยชน์ที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีที่สุด เป็นเมนูเครื่องดื่มที่ Represent ทั้งคุณชมพู่และความเป็น Oh! Juice ไปพร้อม ๆ กัน”
สำหรับเมนู Material Girl Smoothie จะจำหน่ายเพียงหนึ่งซีซั่นเท่านั้น ใครที่อยากลิ้มลองความอร่อย ก็ต้องรีบมาชิมกันหน่อยนะ !
จัดเต็มวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม
นำเข้าวิตามินจากต่างประเทศ 100%
“เรียกว่านำเข้าแบบ 100% เลย ถ้าเป็นวิตามินอย่าง Electrolyte, Sea Moss Gel หรือว่า Multi-Protein แล้วก็ถ้าเป็น Skin Booster ตัวบูสต์เรื่องระบบทางเดินอาหารหรือตัวบำรุงระบบประสาทและสมองต่าง ๆ ก็จะค่อนข้างคัดเลือก นำเข้ามาจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน เราเน้นใส่ใจในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยและความสะอาด มีการรับรองที่เป็นสากล รวมถึงคำนึงถึงโดสหรือปริมาณของวิตามินที่เหมาะสมต่อร่างกายของผู้บริโภคด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องคิดมาให้ครบแล้วว่ามันปลอดภัยต่อผู้บริโภค แล้วก็อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นจริง ๆ”
เส้นทางสู่การเป็นแบรนด์สมูทตี้พรีเมียม
ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
“ความท้าทายก็น่าจะเป็นในเรื่องของการแพลน เพราะแพลนแรกของเราคือการขยาย 5 สาขาในปีนี้ แต่ด้วยกระแสที่ตอบรับดีมาก Target ที่จะไปต่อเลยกลายเป็น 15 สาขา ทีนี้ก็กลายเป็นแรงกดดัน ซึ่งจากเริ่มแรกกะว่าจะค่อย ๆ ทยอยเปิดเดือนละสาขา ไม่ว่าจะเป็นทีมเทรนนิ่ง ทีมเปิดสาขาใหม่ รวมถึงทีม Operation ก็จะค่อนข้างมีความหนักเหมือนกัน เรื่องของ Marketing ที่ต้องทำทั้งแบรนด์โอ้กะจู๋และแบรนด์ Oh! Juice ไปพร้อม ๆ กัน ทุกคนก็ยอมว่าค่อนข้างหนัก แต่ว่าพอปลายปีมาน้อง ๆ ในทีมมารีวิว พวกเขาก็รู้สึกว่าได้ก้าวข้ามเรื่องยาก ๆ มาได้
ระบบการเทรนพนักงานของเราก็คือ ทุกคนจะต้องเข้าไปที่ OKJ Academy ก่อน เป็นศูนย์ฝึกการเรียนรู้ของเรา ซึ่งมีทีมงานที่เป็นเหมือนครูสอน ปั่นน้ำยังไง ทำให้ดู ฝึกให้ปั่นจริง หั่นผัก-ผลไม้จริง เปิดร้านจริงพอ Demo เสร็จแล้ว เขาก็จะได้รับการเรียนรู้ทั้งทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รวมถึงเรื่องของทัศนคติที่เราให้ความสำคัญ พอน้อง ๆ ฝึกเสร็จก็จะเข้าทำงานที่หน้าสาขา เป็นสาขาที่ Oh! Juice เปิดให้บริการแล้ว น้อง ๆ ก็จะเข้าไปฝึก เราก็จะให้ทีมโค้ชเข้าไปดูแลน้องอีกที แล้วก็จะประเมินน้อง ๆ แต่ละคนอีกทีว่าสามารถทำแต่ละสเตชันไหนได้บ้าง ทีมโค้ชก็จะติดตามการทำงานของพวกเขาอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบว่าสาขานั้น ๆ มีความพร้อมแล้ว แต่ความยากของทีมก็คือเรามีจำนวนคนค่อนข้างจำกัด ก็อาจจะต้องบริหารจัดการทีมให้ครอบคลุมทุกสาขาค่ะ รวมถึงทีม Operation ที่ต้องให้ความใส่ใจทั้งเรื่องของเซอร์วิสและเรื่องของคุณภาพไปพร้อมกัน”
สเต็ปต่อไปของ Oh! Juice
“เราพยายามสร้างภาพจำให้กับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของสไตล์การแต่งร้านที่มีการคุยกับดีไซเนอร์ เพื่อความสตรองกับทั้งเรื่องของสีหรือ elements บางอย่างที่ทำให้จำได้ว่านี่คือแบรนด์ Oh! Juice ซึ่งปีหน้าก็คาดว่าจะมีคอนเซ็ปต์ใหม่ ๆ ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าด้วยค่ะ
ด้วยแบรนด์ Oh! Juice มันเกิดจาก Dream กับ Passion ในการที่อยากจะทำสมูทตี้ การเลือกวัตถุดิบดี ๆ อยากเป็น Top of Mind Brand ด้าน Healthy Smoothie ของไทยให้ได้ นอกจากการขยายสาขาในประเทศแล้ว ก็มองว่าตลาดต่างประเทศนี่แหละ เป็นตลาดที่เราอยากจะไปในปีหน้า ตอนนี้ก็ศึกษาอยู่ค่ะว่ามีช่องทางหรือโอกาสแบบไหนบ้าง
สิ่งสุดท้ายที่เราอยากฝากไว้ ด้วยความที่ว่าแบรนด์เรามีคีย์เวิร์ดอันนึงที่ช่วงนี้พูดถึงกันในทีม Oh! Juice เสมอว่า ‘Set up your smoothie game to the big level with Oh! Juice’ เราก็อยากให้ Oh! Juice เป็นการดื่มสมูทตี้ที่เพิ่มเลเวลความอร่อย ควบคู่ไปกับการมีสุขภาพที่ดีด้วย น่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนดื่มทุกเพศ ทุกวัย มอบความสดชื่น พร้อมทั้ง Nutrition คุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายจริง ๆ”
Oh! Juice (สาขา Siam Square One)
ชั้น 3 ศูนย์การค้า Siam Square One (BTS สถานีสยาม)
เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น.