สัมผัสลุคใหม่ และความอร่อยสุดพรีเมียมกับ 8 ร้านดังใน Eight Thonglor

Published on May 28, 2018

Eight Thonglor ไลฟ์สไตล์มอลล์ ใจกลางทองหล่อ อีกหนึ่งแหล่งแฮงเอาท์ของคนเมือง ปรับลุคใหม่ทันสมัย เรียบ เท่ ภายใต้แรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของผืนผ้าบนรันเวย์ นอกจาก Facade จะได้รับการปรับโฉมแล้ว ยังมาพร้อมร้านอาหารจากแบรนด์ดังหลากสไตล์ ที่ให้คุณได้เพลิดเพลินทั้งการกิน ช้อป ชิลล์ ได้อย่างเต็มอิ่ม และผ่อนคลายไปกับบรรยากาศห้องนั่งเล่นที่แสนเย็นสบายกลางทองหล่อ

 

ไม่ว่ามุมไหน ๆ ก็สามารถมองเห็นความพลิ้วไหวของโครงสร้างอาคารโฉมใหม่ได้อย่างชัดเจน

ภาพลักษณ์ใหม่ของ Eight Thonglor ไม่เพียงแต่จะปรับให้ดูทันสมัย เนี้ยบและเรียบง่าย ดูสบายตาขึ้น ภายในมอลล์ก็ได้เพิ่มวาไรตี้ของร้านค้าไว้อย่างครบครัน ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ แฟชั่นดีไซเนอร์ไทยและต่างประเทศให้เลือกช้อปแบบจุใจ รวมถึงสตูดิโอโยคะและร้านเสริมความงามทั้งชายและหญิงแบบครบวงจร ภายใต้บรรยากาศความเป็นส่วนตัว สะดวกสบาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกเพศทุกวัย

 

ดึงดูดสายตาด้วยงานดีไซน์โครงสร้างด้านหน้าอาคารที่พลิ้วไหวมากยิ่งขึ้น

ครั้งนี้ BKK จึงไม่รอช้าขออาสาพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ ครั้งใหม่ของ Eight Thonglor กันถึงที่ ผ่านความอร่อยสุดพรีเมียมกับ 8 ร้านดังที่นักชิมทั้งหลายห้ามพลาด ส่วนจะเป็นร้านไหนบ้างนั้น ตามไปเช็คอินพร้อม ๆ กันเลย 

1

Paul Bakery

 

มีพื้นที่ให้นั่งจิบเครื่องดื่ม ทานขนมแบบชิลล์ ๆ

ประเดิมความอร่อยแบบพรีเมียมกันที่ Paul Bakery ร้านเบเกอรี่ชื่อดังสัญชาติฝรั่งเศสที่สร้างความประทับใจให้กับคนทั่วโลกมาแล้วกว่า 129 ปี ได้ขยายความอร่อยในคอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุด 'Grab & Go Cafe' สาขาแรกที่ Eight Thonglor 

 

ยินดีต้อนรับสู่ Paul สาขา Eight Thonglor

ความพิเศษของสาขานี้ คือรูปแบบความเป็นคาเฟ่ที่เข้าถึงง่าย ใกล้เคียงคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของร้าน Paul Bakery ในฝรั่งเศส เพิ่มความสะดวกสบายให้ทุกคนสามารถ Grab & Go เครื่องดื่ม เบเกอรี่ และเมนูอาหารเช้าได้ตลอดวัน พร้อมกับดีไซน์พื้นที่ให้มีโซนนั่งทานขนม จิบเครื่องดื่มแบบชิลล์ ๆ อีกด้วย ใครที่รักในความหอมอร่อยของ Paul Bakery บอกเลยว่าห้ามพลาด

 

โซนเคาน์เตอร์สำหรับสั่งเมนูเครื่องดื่มและขนมต่าง ๆ

ในส่วนของตัวเมนูนั้น ยังคงความเป็นแบรนด์ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยเมนูยอดนิยมต่าง ๆ แบบเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเมนู Must Have หรือเป็นเมนูขายดีที่ทางร้าน Paul จะต้องมี ไม่ว่าจะเป็นเมนูสลัดผักออร์แกนิก เมนูขนมอบแสนอร่อยที่เป็น Daily Fresh Baked อย่างครัวซองต์ แซนด์วิช ทาร์ต และอื่น ๆ อีกมากมาย ทุกเมนูที่ Paul นำเสิร์ฟวัตถุดิบต่าง ๆ ล้วนอิมพอร์ตเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศสทั้งหมด เพราะฉะนั้นการันตีคุณภาพได้ว่าความอร่อยเหมือนต้นตำรับแน่นอน สำหรับเมนูแนะนำที่ต้องลอง ได้แก่ Salade Haricots Vert Saumon Roti (275 บาท) สลัดผักออร์แกนิก 100 เปอร์เซ็นต์ คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีทั้งผักสลัด แซลมอน ไข่ต้ม มะเขือเทศ งา และถั่วชนิดต่าง ๆ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศล้วน ๆ 

 

Salade Haricots Vert Saumon Roti (275 บาท)

ตามมาด้วย Le Dieppois Citron (200 บาท) แซนด์วิชสไตล์ฝรั่งเศสที่ทำจากขนมปังบาแก็ตต์ สอดไส้ทูน่าและครีมชีสเลมอน 

 

Le Dieppois Citron (200 บาท)

และพิเศษสุดกับ 2 เมนูที่มีเสิร์ฟเฉพาะที่สาขา Eight Thonglor เท่านั้นกับ Sakura Canelé (100 บาท) คานาเล่หรือขนมขึ้นชื่อของฝรั่งเศส ที่ทาง Paul ได้ครีเอทขึ้นมาใหม่โดยการใส่ผงซากุระเข้าไปใน Canelé ทำให้ด้านในขนมมีสีชมพู ให้เท็กซ์เจอร์กรอบนอกนุ่มในชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสซากุระ และ Sakura Latté (150 บาท) เครื่องดื่มที่ครีเอทผงซากุระออกมาเป็นเมนูลาเต้ รสหวานน้อย กลมกล่อม หอมกลิ่นดอกซากุระอ่อน ๆ ส่วนใครที่ชอบดื่มโกโก้ อาจจะสั่งเป็น Iced Chocolate (160 บาท) ก็ได้รสชาติเข้มข้น ดีงามไม่แพ้กัน 

 

Sakura Canelé (100 บาท)

 

Sakura Latté (150 บาท)

Paul Bakery 
ชั้น G Eight Thonglor
เปิดทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น.
โทร. 0-2014-1677
www.facebook.com/paul1889.thailand

2

The Blooming Gallery

 

สัมผัสความร่มรื่นสบายตาได้ตั้งแต่บริเวณทางเข้าร้านเลยทีเดียว

เอาใจสาย Cafe Hopping กันอย่างต่อเนื่องกับ The Blooming Gallery คาเฟ่ชาในย่านทองหล่อ ที่มาพร้อมบรรยากาศของเรือนดอกไม้แสนสวยสไตล์ยุโรป โดย คุณเจิน-ศศิ ดิลกชวนิศ และ คุณวี-สุวีรา เติมรุ่งเรืองเลิศ สองสาวที่รักธรรมชาติ ชื่นชอบดอกไม้ วัฒนธรรมการดื่มชา และหลงใหลในงานศิลปะแบบเดียวกัน ทำให้ร้านนี้เป็นสถานที่เพื่อให้คนกรุงฯ ได้แวะเข้ามาจิบชา รีชาร์จความสุข ความสดชื่นกับพื้นที่นี้อย่างเต็มที่  


บรรยากาศภายในคาเฟ่อบอวลไปด้วยความสวยงามและความร่มรื่นของสวนดอกไม้ โดยแรงบันดาลใจในการตกแต่งร้านส่วนหนึ่งนั้นมาจากผลงานภาพวาดแนว Impressionist จากศิลปินคนโปรด Oscar Claude Monet นักวาดภาพสีน้ำมันชาวฝรั่งเศส ซึ่งสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของทางร้านที่ต้องการให้ที่นี่เป็น Hidden Space เพื่อให้คนที่เข้ามารู้สึกผ่อนคลายที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ดึงเสน่ห์ ความดิบเท่สไตล์ Sweet Rustic มามิกซ์แอนด์แมตช์กันไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมแบ่งโซนนั่งออกเป็น 3 โซนหลัก ๆ ได้แก่ โซนสวนดอกไม้ ที่จำลองบรรยากาศเรือนกระจกมาไว้ ตามมาด้วยโซนบาร์ ที่ให้บริการเครื่องดื่มทุกประเภท และโซนด้านใน ที่เพิ่มความโรแมนติกด้วยแสงไฟสีส้ม

 

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งในสไตล์ Sweet Rustic

ด้านอาหารทุกเมนูของ The Blooming Gallery มีการสอดแทรกดีเทลของชาและดอกไม้ลงไปในตัวอาหารด้วย ขอแนะนำ Angel Hair Spaghetti Mentaiko with Young Tiger Prawns (280 บาท) เส้น Angel Hair ผัดพริกแห้ง กระเทียม Olive Oil และ White Wine กับกุ้ง ปรุงรสชาติหลังจากปิดไฟ ใส่ไข่ปลา Mentaiko ลงไป แต่งด้วยไข่ปลาแซลมอน และ Ressy Tuile และดอกไม้ 


 

Angel Hair Spaghetti Mentaiko with Young Tiger Prawns (280 บาท)

ส่วนเมนูไฮไลท์ ขอยกให้กับขนมสุดครีเอทอย่าง A Path in the forest : Matcha Mousse Soft Cheesecake (380 บาท) มัทฉะมูสที่แบ่งเลเยอร์ออกเป็นหลายชั้น เพื่อเพิ่มรสสัมผัสให้กับตัวขนม โดยชั้นด้านล่างสุดเป็นชีสเค้ก ถัดขึ้นมาเป็นมัทฉะมูส ตามด้วยครัมเบิลกรุบกรอบ และวิปครีมสดชั้นบนสุด ก่อนจะโรยด้วยผงมัทฉะจากเกียวโตให้ทั่วทั้งชิ้น แล้วเสิร์ฟลงบนถ้วยหินอ่อนสีดำคู่กับช้อนไม้ รสชาติที่ได้ก็คือความนุ่มละมุนของเนื้อมูส ผสานความกรุบกรอบของครัมเบิล

 

A Path in the forest : Matcha Mousse Soft Cheesecake (380 บาท)

The Blooming Gallery
ชั้น LG Eight Thonglor
เปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น.
โทร. 0-2063-5508
www.facebook.com/thebloominggallery

3

Sushicyu & Carnival Yakiniku

 

โซนซูชิบาร์

ก่อนจะแวะไปเพิ่มความอิ่มท้องระหว่างวันให้มากขึ้นกับอาหารญี่ปุ่นที่ผสมผสานความเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอมากาเสะและสไตล์ยากินิกุเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวที่ร้าน Sushicyu & Carnival Yakiniku ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการให้บริการด้านวัตถุดิบเนื้อปลาชั้นดีที่อิมพอร์ตจากประเทศญี่ปุ่นโดยตรง เสิร์ฟความอร่อยออกมาเป็นเมนูโอมากาเสะคุณภาพระดับพรีเมียมในราคาที่เอื้อมถึง รวมถึงการให้บริการด้านเนื้อย่างสูตรต้นตำรับญี่ปุ่น ที่คัดสรรเนื้อแต่ละส่วนอย่างพิถีพิถัน เหมาะกับสไตล์ปิ้งย่างอย่างแท้จริง ย่างโดยใช้เตาถ่านที่ช่วยขับกลิ่นหอมของเนื้อและรักษารสชาติดั้งเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ทางร้านจึงแบ่งโซนออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือโซนซูชิบาร์-ห้อง Private สุดส่วนตัวสไตล์ Zen ที่เน้นเสิร์ฟซูชิ ซาชิมิสดใหม่ คอร์สโอมากาเสะเป็นพิเศษ 

 

ห้อง Private ตกแต่งในสไตล์ Zen

สำหรับเมนูแนะนำที่เมื่อมาเยือนแล้วควรสั่งมาทานคือ Omakase (1,850 บาท + Uni คิดราคาเพิ่ม 300 บาท) เซ็ตโอมากาเสะซูชิที่รวบรวมเนื้อปลา วัตถุดิบหลากหลายชนิดที่ขึ้นอยู่กับช่วง Seasonal ของทางประเทศญี่ปุ่น จะถูกรังสรรค์โดยเชฟที่มีเทคนิคเฉพาะตัว เช่น Otoro เนื้อบริเวณส่วนท้องของปลาทูน่า หอยปีกนก ปลาฮิราเมะหรือปลาตาเดียว กุ้งหวาน ไข่หอยเม่น ไข่ปลาแซลมอน เป็นต้น โดยสำหรับเซ็ตโอมากาเสะซูชินี้ นับเป็นโอมากาเสะที่มีราคาดีที่สุดและมีคุณภาพที่สุด ณ ขณะนี้อีกด้วย

 

Omakase (1,850 บาท)

มาถึงฝั่งของโซนปิ้งย่างกันบ้าง พื้นที่ส่วนนี้ถูกออกแบบให้มีความโปร่งโล่ง สะอาดสะอ้าน และดูสบายตา แตกต่างไปจากลักษณะร้านปิ้งย่างในแบบที่คุ้นเคยกัน เพราะที่นี่สามารถมองเห็นวิวใจกลางเมืองผ่านกระจกใส และทุกที่นั่งต่างก็มีเครื่องดูดควันอย่างเป็นสัดส่วน หมดปัญหาเรื่องกลิ่นควันจากการปิ้งย่างอย่างแน่นอน

 

โซนปิ้งย่าง

ในส่วนของเมนูปิ้งย่างการันตีความอร่อยด้วยการคัดเลือกเนื้อคุณภาพดี โดยสาขา (แห่งที่ 2) นี้จะมีการนำเนื้อส่วนพิเศษมาให้ได้ลิ้มลองก่อนใครอยู่เสมอ ด้วยเชฟชาวไทยมากฝีมือที่เชี่ยวชาญในการคัดเลือกเนื้อวัวชั้นดี เลือกเฉพาะส่วนที่เหมาะกับการปิ้งย่างเท่านั้น คำนึงถึงคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามประเภท ทั้งปริมาณไขมันแทรก รสชาติ รสสัมผัส และกลิ่น แนะนำเซ็ต Yakiniku (4,090 บาท) เซ็ตเนื้อที่ให้ความหลากหลายเป็นพิเศษ ทั้งเนื้อวากิวชั้นเลิศ ไม่ว่าจะเป็นโกเบ คาโกชิม่า ซากะ และโอมิ หรือจะเป็นเนื้อคารูบิและโรสต์ แล่ให้ได้ทานกันทั้งส่วนของสะโพกและสันใน โดยทุกส่วนจะหมักด้วยสูตรพิเศษของทางร้าน ให้รสเข้มข้นเข้ากับความนุ่มละมุนของเนื้ออย่างมาก นอกจากนี้ยังสามารถลิ้มรสเนื้อชั้นดีในรูปแบบชาบูชาบูได้อีกด้วย 

 

เซ็ตเนื้อย่าง Yakiniku (4,090 บาท)

 

เนื้อย่างหอม ๆ

Sushicyu & Carnival Yakiniku
ชั้น 1 Eight Thonglor
เปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 11.30-14.00 น. และ 18.00-22.30 น.
เสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.30-22.30 น.
โทร. 0-2713-8312, 08-5145-1722 
www.facebook.com/Sushicyu-Carnival-Yakiniku-8-Thonglor-399765696861538

4

A Lot of Love

 

มุมหวาน ๆ กับป้ายร้าน A Lot of Love

หากกำลังมองหาคาเฟ่-ร้านอาหารที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพตามหลักโภชนาการแล้วละก็ ต้องตรงเข้าไปเช็คอินความอร่อยกันต่อที่ร้าน A Lot of Love เพราะที่นี่เขาเน้นเสิร์ฟเฉพาะอาหารแนว Healthy แต่ยังคงความโดดเด่นในเรื่องของรสชาติไว้ได้เป็นอย่างดี ด้วยแนวคิดของ คุณปอ ผู้ทำธุรกิจด้านสุขภาพ และ คุณหมอปั๊บ คุณหมอโรคหัวใจโรงพยาบาลศิริราช พร้อมทั้งหุ้นส่วนอีก 2 คนที่รักสุขภาพ โดยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่พร้อมส่งต่อสุขภาพดีให้กับทุกคน ตรงตามชื่อร้านกับคอนเซ็ปต์ 'ให้คนรักมีความสุขด้วยสุขภาพแข็งแร็ง' เริ่มตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่ดีมาใช้ในร้าน เช่น อาหารทะเลสดจากธรรมชาติ ส่งตรงจากเรือประมงจังหวัดจันทบุรี หรืออกไก่ปราศจากสารเร่งและฮอร์โมน ส่วนผักเป็นออร์แกนิกไร้สารเคมี รวมถึงเลือกใช้น้ำมันมะกอกแทนน้ำมัน โดยใช้กรรมวิธีที่คงคุณค่าทางสารอาหารให้ได้มากที่สุด


ในส่วนของบรรยากาศร้าน ตอกย้ำความเป็น A Lot of Love ด้วยการคุมโทนการตกแต่งร้านด้วยสีหวานสดใส มิกซ์แอนด์แมตช์เฟอร์นิเจอร์ให้ได้รู้สึกถึงความอบอุ่น อบอวลไปด้วยมวลของความรักจริง ๆ 

 

บรรยากาศแสนอบอุ่นเหมือนอบอวลไปด้วยความรัก

อาหารของทางร้านได้ครีเอทออกมาเป็นเมนูฟิวชั่น ทานง่าย ๆ ได้ทุกวัน ที่สำคัญทุกจานไม่ใส่ผงชูรสแต่ยังคงรสชาติดีที่ถูกปากคนไทยอยู่เช่นเดิม สำหรับเมนูที่ต้องลอง ได้แก่ Broccoli Fritters (280 บาท) บล็อคโคลีสับหยาบเคี้ยวเพลิน ๆ ชุบกับแป้งและชีสเล็กน้อย จี่ในกระทะพอสุกเหลือง เสิร์ฟคู่มากับซอสโยเกิร์ตและเลมอนให้รสเปรี้ยวช่วยเพิ่มความสดชื่น ตัดความเลี่ยนของชีสได้เป็นอย่างดี

 

Broccoli Fritters (280 บาท)

ส่วนใครที่ชอบทานอาหารใต้ แนะนำให้ทาน ควินัวยำปักษ์ใต้ (220 บาท) เป็นการผสมผสานควินัว หรือธัญพืชที่ถือได้ว่าเป็น Super Food ของคนรักสุขภาพให้ได้เคี้ยวหนุบหนับเข้ากับยำปักษ์ใต้อย่างลงตัว เสริมความเด็ดด้วยน้ำยำสูตรพิเศษจากจังหวัดยะลาที่ให้รสชาติเข้มข้น เมื่อคลุกเคล้ากับสมุนไพรนานาชนิดแล้วจะได้กลิ่นหอมจากมะพร้าวคั่วใหม่อีกด้วย 

 

ควินัวยำปักษ์ใต้ (220 บาท)

จากนั้นอย่าลืมปิดท้ายความอร่อยกันด้วย ผัดไทยเส้นมะละกอกุ้งย่าง (460 บาท) ผัดไทยที่เปลี่ยนเส้นจันท์ที่ทำจากแป้งให้เป็นเส้นมะละกอสด กรอบ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับกุ้งลายเสือย่างเนื้อแน่นหวาน และเครื่องเคียงแบบจัดเต็ม ผัดคลุกเคล้าเข้ากับน้ำผัดไทยรสเข้มข้น รับรองเลยว่าจานนี้อร่อยเด็ดอย่าบอกใคร

 

ผัดไทยเส้นมะละกอกุ้งย่าง (460 บาท)

A Lot of Love
ชั้น LG Eight Thonglor
เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น.
โทร. 0-2021-4972
www.facebook.com/A-lot-of-Love-159064111427048

5

El Gaucho Argentinian Steakhouse

 

บรรยากาศภายในร้านยังคงความดิบเท่ได้เช่นเดียวกับสาขาอื่น ๆ ทั่วโลก

ปักหมุด destination ของสาย Meat Lover ต้องไม่พลาดกับร้าน El Gaucho ที่เป็นหนึ่งใน Top 5 ร้านสเต๊กที่ดีที่สุดในเมืองไทย เพราะในบรรดาคนที่ชอบทานเนื้อเป็นชีวิตจิตใจจะทราบดีว่า สเต๊กเฮ้าส์สัญชาติอาร์เจนติน่าแห่งนี้คัดสรรวัตถุดิบเกรดพรีเมียมโดยเฉพาะเนื้อ Tomahawk ที่นิยมสั่งแบบ 1 กิโลกรัมเน้น ๆ มารังสรรค์ความอร่อยให้นักชิมทั้งหลายได้ลองทานกันอยู่เสมอ 

El Gaucho มีหลายสาขาอยู่หลายประเทศ ทั้ง USA UK และในเอเชีย เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และประเทศไทย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในร้านสเต็กที่ดีที่สุดที่ได้รับการโหวตจากสถาบันและเว็บไซต์ต่าง ๆ มากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
 

โซนนั่งทานอาหารแบบ Long Table สำหรับการทานแบบเป็นกลุ่มใหญ่

หากได้มาลองนั่งทานภายในร้านสเต๊กแห่งนี้ดูสักครั้งก็จะพบว่าที่นี่ได้บรรยากาศเหมือนนั่งทานอาหารอยู่ต่างประเทศเลยก็ว่าได้ เพราะมีหลากหลายมุมให้ได้ชิลล์เอาท์ทั้งโซน Indoor และ Outdoor ตกแต่งด้วยมู้ดแอนด์โทนสไตล์ลอฟท์สีเข้มขรึม ตัดกับหลอดไฟสีส้มสว่างไสวอย่างเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีมุมบาร์ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูค็อกเทล เบียร์สดสัญชาติต่าง ๆ อีกด้วย


ความพิเศษของ El Gaucho ก็คือ การนำเอาสเต็กคุณภาพจากเนื้อวัวเกรดพรีเมียมนำเข้าจากอเมริกาและออสเตรเลียผ่านการปรุงแบบต้นตำรับสไตล์อาร์เจนติน่ามาเสิร์ฟในบรรยากาศและการบริการแบบพรีเมี่ยมเคียงคู่กับไวน์ชั้นดีและเครื่องเคียงที่มีให้เลือกมากมาย อาจจะเริ่มต้นด้วยเมนูสลัด และไส้กรอกสูตรสไปซี่ซอสรสจัดจ้าน จากนั้นอิ่มท้องด้วยเมนูจานหลักอย่าง Homemade Cheese and Bacon Burger (750 บาท) โฮมเมดชีสเบอร์เกอร์และเบคอนเบอร์เกอร์ที่ขึ้นชื่อของแบรนด์เลยก็ว่าได้ มีลักษณะเป็นเนื้อสับปั้นเป็นก้อน เสิร์ฟใน Burger Bun เท็กซ์เจอร์ด้านในนุ่มหวาน ชุ่มฉ่ำไปด้วย Chimichuri Sauce ซอสสูตรพิเศษของทางร้าน มิกซ์มากับสลัดผักใบเขียว อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบเน้น ๆ เต็ม ๆ คำ

 

Homemade Cheese and Bacon Burger (750 บาท)

สำหรับเมนูเนื้อของที่นี่มีให้เลือกถึง 3 Quality ได้แก่ Certified Angus Beef, Black Angus Beef และรุ่นท็อป USDA Prime แนะนำให้ลองทาน Rib Eye Steak (Entrecote) USDA Prime 250 GR (1,890 บาท) สเต๊กเนื้อสำหรับผู้ที่เริ่มทาน หากสั่งแบบ Medium Rare จะได้เนื้อที่สุกกำลังทาน

 

Rib Eye Steak (Entrecote) USDA Prime 250 GR (1,890 บาท)

El Gaucho Argentinian Steakhouse
ชั้น G Eight Thonglor
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-00.00 น.
โทร. 08–8721-3088
www.facebook.com/elgauchothailand

6

Din Tai Fung

 

ด้านหน้าร้าน Din Tai Fung

ทานอาหารยุโรปกันไปพอสมควร เปลี่ยนบรรยากาศมาทานอาหารฝั่งตะวันออกกันบ้างที่ Din Tai Fung (ติ่น ไท่ ฟง) ภัตตาคารอาหารจีนสไตล์เซี่ยงไฮ้ชื่อดัง จากประเทศไต้หวันที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ซึ่งสาขา Eight Thonglor นี้นับเป็นสาขาที่ 5 ที่ยกความอร่อยมาเสิร์ฟให้ชาวทองหล่อได้ทานกันโดยเฉพาะแบบไม่ต้องเดินทางไกลไปลิ้มรสความอร่อยถึงต่างประเทศ ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพและรสชาติที่อร่อยได้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก


ส่วนบรรยากาศภายในร้าน นอกจากจะได้กลิ่นอายของความเป็นภัตตาคารอาหารจีนแล้ว ยังผสมผสานความร่วมสมัยไปใช้ในการตกแต่งร้านอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเฟอร์นิเจอร์ไม้โทนสีอ่อน มุมนั่งทั้งแบบโซฟาและแบบโต๊ะกลมที่มิกซ์แอนด์แมทช์กันได้ด้วยธีมสีแนวเอิร์ธโทน สร้างความอบอุ่น ผ่อนคลาย เหมาะอย่างยิ่งที่จะพาครอบครัวมาใช้ช่วงเวลาดี ๆ ทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

 

ครัวเปิดที่เผยให้เห็นเบื้องหลังการทำงานของเชฟ

 

ทางร้านเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้และใช้แสงไฟสีส้มอ่อน ให้บรรยากาศดูอบอุ่นและทันสมัยมากขึ้น

มาถึงเมนูแนะนำกันบ้าง แน่นอนว่าความพิเศษของร้านนี้อยู่ที่เมนูไฮไลท์อย่าง เสี่ยวหลงเปา (120 บาท-4 ชิ้น และ 220 บาท-8 ชิ้น) เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านที่พิถีพิถัน บรรจงจับจีบถึง 18 จีบ จนได้เนื้อแป้งที่เนียนนุ่มอย่างเป็นเอกลักษณ์ สอดไส้หมูสับแบบเน้น ๆ พร้อมน้ำซุปรสกลมกล่อมที่ได้จากกรรมวิธีการอบเฉพาะของ Din Tai Fung กลั่นรสชาติของเนื้อหมูเป็นน้ำซุปอันเป็นเอกลักษณ์

 

เสี่ยวหลงเปา (120 บาท-4 ชิ้น และ 220 บาท-8 ชิ้น)

ตามมาด้วยอีกหนึ่งเมนูขายดีที่พลาดไม่ได้คือ ข้าวผัดหน้าพอร์คช็อป (270 บาท) ข้าวผัดใส่ไข่สูตรพิเศษที่ใช้วัตถุดิบอันเรียบง่ายแต่ให้รสชาติแสนกลมกล่อมที่เข้ากับหมูทอดนุ่ม ๆ แบบเข้ากันสุด ๆ 

 

ข้าวผัดหน้าพอร์คช็อป (270 บาท)

จากนั้นปิดท้ายกันด้วยติ่มซำที่สุดของความอร่อยในตำนานกับ ซาลาเปาไส้คัสตาร์ดไข่เค็ม (45 บาท-1ลูก และ 135 บาท-3 ลูก) แป้งซาลาเปาสูตรพิเศษ ไส้คัสตาร์ดไข่เค็มลาวาที่เข้ากันดีกับเนื้อแป้งนุ่ม ๆ รสละมุน มาพร้อมตัวอักษรบนซาลาเปาที่ประทับคำในภาษาจีน อ่านว่า 'ฝู๋' ที่แปลว่าโชคลาภ อันเป็นสัญลักษณ์ของร้าน

 

ซาลาเปาไส้คัสตาร์ดไข่เค็ม (45 บาท-1ลูก และ 135 บาท-3 ลูก)

Din Tai Fung
ชั้น G Eight Thonglor
เปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-22.00 น.
เสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.30-22.00 น.
โทร. 0-2391-9765
www.facebook.com/DinTaiFungTh

7

CALIN L’ÉPICERIE Café & Kitchen

 

บรรยากาศด้านหน้าร้านที่ดึงเอากลิ่นอายของคาเฟ่และร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสมาไว้ที่ Eight Thonglor

ส่งต่อความอร่อยอย่างต่อเนื่องกับร้าน CALIN L’ÉPICERIE Café & Kitchen ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสในบรรยากาศแสนอบอุ่นที่ต้อนรับทุกคนด้วยอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดและมีสินค้าดี ๆ ให้เลือกซื้อกลับอีกด้วย

 

ภายในร้านนอกจากจะมีโซนนั่งทานอาหารแล้ว ยังมีเชลฟ์ผลิตภัณฑ์ วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ทางร้านคัดสรรมาเพื่อให้คนที่ชอบทำอาหารได้เลือกช้อปอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็น เกลือทรัฟเฟิล น้ำมันทรัฟเฟิล มัสตาร์ดผสมทรัฟเฟิล ทรัฟเฟิลคาร์ปาชิโอ้ในขวด ซาร์ดีนกระป๋อง โอโทโร่ในน้ำมันมะกอก และเครื่องดื่มหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเครื่องครัวชั้นดีมีระดับและจานชามคลาสสิกจากยุโรป ให้เลือกชมอีกด้วย เข้ากับคอนเซ็ปต์ของร้านที่ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหาร แต่ยังมีของชำและเครื่องครัว ที่คัดเลือกโดย เชฟอุ้ม-อาภา เสนีย์ประกรณ์ไกร เชฟเจ้าของร้าน


สำหรับอาหารจะเน้นเสิร์ฟแบบ All Day Dining Menu สไตล์ฝรั่งเศสแบบ Comfort Food ที่ทานง่าย ซึ่งทุกเมนูล้วนได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปแคว้นต่าง ๆ ในฝรั่งเศสและจากการเรียนทำอาหารที่ Le Cordon Bleu Dusit ของเชฟอุ้มทั้งสิ้น

 

Duck Confit with Potato Mousse & Sauté Spinach, Red Wine Jus (460 บาท)

ในส่วนของเมนูแนะนำ ใครที่ชอบทานเป็ดเป็นพิเศษต้องลองสั่ง Duck Confit with Potato Mousse & Sauté Spinach, Red Wine Jus (460 บาท) เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านที่นำน่องเป็ดไป Confit แบบดั้งเดิม ตุ๋นในน้ำมันด้วยอุณหภูมิต่ำเป็นเวลานาน แล้วนำมาทอดให้หนังกรอบ ราดซอส Red Wine Jus เสิร์ฟพร้อมมูสมันฝรั่งและผัดผักโขม ต่อด้วยเมนูของหวานแสนอร่อยอย่าง Croissant Pudding with Ice Cream (290 บาท) ครัวซองต์ที่ทางร้านทำเอง ตัดเป็นชิ้นพอดีคำ นำไปอบกับซอสสูตรพิเศษแล้วโรยด้วยอัลมอนด์กับแครนเบอร์รี่แห้ง ได้รสสัมผัสความกรอบด้านบนและความนุ่มชุ่มซอสของครัวซองต์ด้านล่าง เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมรสพรีเมียม (คาราเมลบิสกิต) ได้รสชาติหวานละมุนเข้ากันอย่างลงตัว

 

Croissant Pudding with Ice Cream (290 บาท)


CALIN L’ÉPICERIE Café & Kitchen
ชั้น G Eight Thonglor
เปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น.
โทร. 08-1586-7305
www.calincafe.com
www.facebook.com/calincafe
Instagram : calincafe
Youtube : CALIN Café Channel
Line : @calincafe

 

ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งวัฒนธรรมตะวันออก

ส่งท้ายความอร่อยแบบพรีเมียมกันที่ร้านอาหารอินเดียยอดนิยมอย่าง Masala Art  ที่สร้างประสบการณ์ความอร่อยฉบับอาหารอินเดียดั้งเดิม เกินคาดกับความหลากหลายของเครื่องเทศที่ปรุงให้ได้รสสัมผัสที่ทานง่าย ติดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง


ภายในร้านตกแต่งอย่างสวยงามได้บรรยากาศอินเดียร่วมทันสมัย ซึ่งทางร้านมีการนำเอาข้าวของเครื่องใช้พื้นเมืองมาวางประดับประดาตามมุมต่าง ๆ ด้วยธีมสีฟ้าขาว ราวกับได้นั่งทานอาหารอยู่ในฮาเร็มสุดส่วนตัว

 

ภายในร้านตกแต่งด้วยธีมอินเดียที่สอดแทรกความเป็นศิลปะลงไปด้วย

 

มู้ดแอนด์โทนของร้านเน้นธีมสีฟ้าขาว สร้างความเรียบหรูไปพร้อม ๆ กับความอบอุ่นสบายตา

เมนูอาหารหลัก ๆ ของทางร้านมีให้เลือกทานหลากหลายแบบ แต่หากใครที่ยังใหม่กับการทานอาหารอินเดียอยู่ สามารถสอบถามบริกรจากทางร้านได้ ซึ่งจะให้ข้อมูลความรู้อย่างละเอียด อีกทั้งยังช่วยแนะนำจานเด็ดให้อีกด้วย โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเสนอเมนูพื้นเมืองของอินเดียตอนเหนือมาให้ได้ลองทาน โดดเด่นด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิด พร้อมครีเอทหน้าตาอาหารแบบมีศิลปะให้มีหน้าตาน่ารับประทานสอดคล้องกับชื่อร้านที่ผสมผสานระหว่างความเป็นเครื่องเทศที่ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของศิลปะได้พอดิบพอดี


 

Naan (75 บาท) และ Saffron rice (195 บาท)

Complementry Dish ของทางร้านที่นิยมยกมาเสิร์ฟอุ่นเครื่องคือ Crispy Papadum ที่ทำมาจากแป้งสาลี ผสมสมุนไพรและเครื่องเทศแล้วนำไปอบในเตา Tandor หรือเตาดินเผาแบบอินเดียที่มีรูปทรงคล้ายโอ่ง จานนี้พิเศษตรงที่นำ Papadum มาม้วนเป็นโคนเล็ก ๆ น่ารัก เสิร์ฟมาบนแท่นวางอย่างดี และมีเครื่องเคียงให้ใส่โคนทานถึงสามอย่างคือ Tamarind Mango Chutney รสเปรี้ยวอมหวาน Mint Sauce ที่ให้รสเผ็ดซ่า และ Vinegared Onion หัวหอมที่หมักน้ำส้มสายชู


เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านคือ Chicken Rogani Tikka (350 บาท) ไก่หมักโยเกิร์ตแบบไม่มีกระดูก ปรุงรสด้วยเครื่องเทศที่หมักเข้าเนื้อ ให้รสสัมผัสนุ่มละมุนทุกคำที่ทานเข้าไป สามารถนำมาทานคู่กันกับ Naan (75 บาท) แป้งนานที่นี่ใช้แป้งสาลีอบในเตา Tandor อีกเช่นเคยโดยใช้นำแป้งลงไปนาบแปะกับผิวของตัวโอ่ง จนได้ผิวเหลืองกรอบ สามารถเลือกทานได้ 2 แบบ ทั้งรสธรรมดาและรสกระเทียม บ้างก็จับคู่ทานกับแกงต่าง ๆ และข้าว Saffron rice (195 บาท) ที่ใช้ข้าว Basmati ข้าวพื้นเมืองของอินเดีย ที่มีลักษณะเรียวยาวอบด้วยขมิ้นและเครื่องเทศนานาชนิด แนะนำให้ลองทานพร้อมกันอย่างละนิดจะให้รสชาติที่เข้ากันเป็นอย่างดีทีเดียว

 

Chicken Rogani Tikka (350 บาท)

Masala Art
ชั้น 1 Eight Thonglor
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
โทร. 0-2713-8357
www.facebook.com/MasalaArtBangkok