เช็กลิสต์ความอร่อยสุดปัง ฉลองส่งท้ายปีที่ 8 ร้านอาหารนานาชาติชื่อดัง โดยการคัดสรรจาก KTC MASTERCARD

Published on November 14, 2022

ชวนอิ่มอร่อยส่งท้ายปี เตรียมฉลองค่ำคืนเคาท์ดาวน์ที่ร้านอาหารหลากหลายสัญชาติชั้นนำในกรุงเทพฯ ซึ่งมาพร้อมบรรยากาศดีงาม เหมาะแก่การดินเนอร์สังสรรค์เนื่องในโอกาสพิเศษ โดยแต่ละร้านนั้นล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการนำเสนอคอร์สอาหาร เหมาะสำหรับสายฟู้ดดี้ที่ต้องการลิ้มลองความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร สัมผัสประสบการณ์ทานอาหารสัญชาติต่าง ๆ ในแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งผ่านการคัดสรรความอร่อยอย่างมีระดับจากหนังสือ KTC Culinary Collective in Bangkok, Chiang Mai & Phuket ที่พ่วงความเอ็กซ์คลูซีฟมากับโปรโมชันสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท ให้ได้เลือกไปอิ่มอร่อยอย่างคุ้มค่า พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ดี ๆ รับคะแนน KTC สุดสูง x10* เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ร้านอาหารที่ร่วมรายการ สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การทานอาหารมื้อพิเศษ ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

1.CAPER BY DAN BARK


CAPER BY DAN BARK ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง ของ Dan Bark เชฟหนุ่มชาวเกาหลี-อเมริกัน เจ้าของรางวัลดาวมิชลิน ซึ่งต้ังอยู่ในซอยปรีดีพนมยงค์ 25 โดย ‘Caper’ นั้นหมายถึง ‘การกระโดดโลดเต้นอย่างมีชีวิตชีวา’ สื่อถึงความสนุกสนาน ผ่านบรรยากาศของร้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งยุค Gatsby สอดประสานการตกแต่งแบบ Art Deco พร้อมประดับร้านด้วยภาพแนว Abstract สารพัดเฉดสี ทั้งโคมไฟ โลหะแขวนหลอดเปลือย ที่สอดรับกับซุ้มโค้งและเสาโลหะทองแดง ตามด้วยโซนบาร์เครื่องดื่มด้านหน้าร้านที่มีความคึกคักเป็นพิเศษ ด้วยบรรยากาศความเคลื่อนไหวของเหล่าเชฟที่เผยให้เห็นเบื้องหลังการปรุงอาหารในครัวเปิดขนาดใหญ่แบบเต็มตา

สำหรับคำนิยามสไตล์อาหารของที่นี่คือ ‘Comfort Modern American Cuisine’ หมายถึง อาหารที่ผ่านการตกแต่งมาอย่างมีลูกเล่นสดใสสวยงาม บวกกับรสชาติรับประทานง่าย โดยเน้นกรรมวิธีการปรุงที่ผสมผสานทั้งวัฒนธรรมอาหารฝั่งตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน

 

CAPER BY DAN BARK (Photo by KTC Culinary Collective)

ก่อนเริ่มต้นมื้ออร่อย ทางร้านจะเสิร์ฟม็อกเทลแก้วเด่นประจำร้านให้ดื่มก่อน มีชื่อว่า ‘Bright’ ประกอบด้วยแชมเปญชนิดไร้แอลกอฮอล์กับสปาร์คกลิงวอเตอร์ ผสมรสเปรี้ยวอมหวานจากเสาวรส มะม่วง มะนาว และสับปะรด เป็นดริงก์ให้จิบแบบเพลิน ๆ เคล้าเสียงเพลงเพราะแนวโซล อาร์แอนด์บี และโอลด์สคูล ที่เปิดกล่อมเป็นฉากหลัง ก่อนเริ่มต้นเสิร์ฟอาหารมื้อพิเศษอุ่นเครื่องเบา ๆ ด้วยเมนู ‘Truffle Toast’ ขนมปังบริยอชโฮมเมดที่นำไปเซียร์ให้ได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มในฉ่ำเนย หั่นมาเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีคำ มีท็อปปิ้งชั้นแรกเป็นชีสทรัฟเฟิล ตามด้วยชีสพาร์เมซานแบบเน้น ๆ ชั้นบนสุดเป็นเห็ดทรัฟเฟิลสดกับต้นหอมโรยหน้า ได้รสสัมผัสที่ทั้งกรอบและมัน แถมหอมกลิ่นทรัฟเฟิลในทุกคำที่เคี้ยว

จากนั้นเข้าสู่เมนูสตาร์ทเตอร์สุดอลังการอย่าง ‘Beef Tartare’ โดยหยิบยืมแนวทางมาจากอาหารเกาหลีท่ีชื่อยุกฮเว (Yuk Hoe) เน้ือวากิวจากออสเตรเลีย คลุกเคล้าเข้ากับซอสโคชูจังสูตรของทางร้าน โดยเสิร์ฟมากับซอส Egg Yolk ไข่แดงสด รายล้อมด้วยลูกแพร์สดเนื้อฉ่ำที่ช่วยเพิ่มความสดชื่น จากนั้นจึงเสริมรสเปรี้ยวด้วยซอสพอนสึ แล้วโรยหน้าด้วยงาดำกับต้นหอม เมนูนี้ให้กลิ่นหอมของซอสและเนื้อลูกแพร์สด บวกกับความกรอบของข้าวเกรียบที่ช่วยเพิ่มมิติเคี้ยวสนุกมากยิ่งขึ้น สลับความอร่อยด้วยรสชาติเบา ๆ ของ ‘Crab Salad’ ที่รังสรรค์มาในสไตล์สเปน เพราะมีเบสเป็นซุปผักกัซปาโช (Gazpacho) ที่มีส่วนผสมของแตงกวา พริกระฆัง และอะโวคาโด ตามด้วยเนื้อปูทะเลฉ่ำ ๆ จากทะเลใต้ฝั่งอันดามัน ออนท็อปด้วยไอศกรีมเชอร์เบท ราดน้ำสลัดแบล็คการ์ลิกบัลซามิก มีมะเขือเทศเชอร์รีสด ใบร็อกเก็ต มิลก์เคิร์ด (Milk Curd) และอิคุระตกแต่งด้านบน จานนี้รับประทานแล้วช่วยเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

ส่วนขนมหวานจานเด็ด ภูมิใจนำเสนอ ‘Banana Bread & Bacon’ เค้กกล้วยหอมโฮมเมดโรยน้ำตาลทรายด้านบน แล้วนำไปเบิร์นกับไฟร้อน ๆ จนได้กลิ่นหอม พร้อมโรยหน้าด้วยครัมเบิล ก่อนตักไอศกรีมเบคอนวางด้านบน ราดเมเปิ้ลไซรัปผสมรัม แล้วออนท็อปด้วยเบคอนดิบเพิ่มความกรอบปิดท้าย ได้ความอร่อยครบรสหวานมันเค็ม

 

เมนู ‘Truffle Toast’ ขนมปังบริยอชโฮมเมดน่าลองของทางร้าน ที่ให้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มในฉ่ำเนย (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับฟรี เครื่องดื่ม Bean Good to Me 2 ที่ มูลค่าที่ละ 300 บาท เมื่อรับประทานครบ 3,500 บาทขึ้นไป / เซลส์สลิป

พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด


1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


CAPER BY DAN BARK
ซอยปรีดีพนมยงค์ 25 กรุงเทพฯ
เปิด วันพุธ-ศุกร์ เวลา 17.00-21.00 น., วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 12.00-14.00 น. และ 17.00-21.00 น. (หยุดวันจันทร์และอังคาร)
โทร. 083 783 4867

www.caper-danbark.com
www.instagram.com/caper_restaurant


2.RESONANCE


RESONANCE ร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ‘เชฟชุน-ชุนสุเกะ ชิโมมูระ (Shunsuke Shimomura)’ โดยให้นิยามอาหารของที่นี่ไว้ว่าเป็น ‘Boundless Cuisine’ หรืออาหารอันไร้กรอบและขอบเขตพรมแดน ด้วยการนำเสนอในรูปแบบ Tasting Menu ผ่านการรังสรรค์ความอร่อยจากประสบการณ์รอบโลกของเชฟชุน

ในส่วนของบรรยากาศการตกแต่งร้าน สถาปัตยกรรมด้านนอกนั้น ดึงดูดสายตาตั้งแต่แรกเห็น ด้วยตัวอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปูด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่เรียงตัวกันเต็มพื้นที่ แต่เมื่อผ่านประตูเข้าไปสู่ด้านใน กลับพบกับอีกความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะงานตกแต่งภายในนั้นเน้นความเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น โอบล้อมไปด้วยอารมณ์อบอุ่นจากสีเอิร์ธโทนและสีขาวนวล

 

RESONANCE (Photo by KTC Culinary Collective)

อาหารของท่ีนี่มีท้ังหมด 12 คอร์ส ผสมผสานกลิ่นอายและรสชาติของทั้งอาหารฝั่งยุโรป แถบนอร์ดิก ออสเตรเลีย เรื่อยไปจนถึงอินเดีย ไทย และญี่ปุ่น โดยเชฟชุนได้คัดสรรจานซิกเนเจอร์มานำเสนอ อาทิ ‘Bamboo Clam, Saffron’ ซุปหอยตลับกับหมึกหิ่งห้อย (Hotaru Ika) และถั่วแระญี่ปุ่นที่เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง ซึ่งด้านบนเป็นโฟมเนื้อนุ่ม ทำมาจากน้ำเต้าหู้ผสมนมเพิ่มสัมผัสละมุน โดยไร้การเติมแต่งรสชาติใด ๆ เพราะเชฟต้องการให้ได้รสหวานและเค็มอย่างเป็นธรรมชาติจากวัตถุดิบล้วน ๆ ถัดมาคือ ‘Hoy Mara’ อลังการงานสร้างด้วยเปลือกหอยทั้งตัววางอยู่บนก้อนหินและสาหร่าย โดยมีหอยมะระหรือหอยสังข์ที่ผ่านการดรายเอจนาน 5 วัน เสิร์ฟมากับมูสที่ทำมาจากตับหอย พร้อมซอสปรุงจากสาเก ซอสถั่วเหลือง คอมบุ ส้มซ่า และพริกไทยดำ รับประทานขณะยังเย็นจัดจะสัมผัสถึงเนื้อหอยเด้งกรอบ ผสานไปกับซอสรสเปรี้ยว และได้ความนัวจากมูสปิดท้าย

เมื่อเข้าสู่คอร์สจานหลัก ทางร้านพร้อมเสิร์ฟทั้ง ‘Tiger Prawn, Curry Leaf Masala’ กุ้งลายเสือผัดกับใบหอมแขกและพริกจินดา เพื่อให้ได้รสและกลิ่นเข้าเนื้อ รับประทานคู่กับซอสมาซาลาที่เสิร์ฟมาในช้อนไม้ อีกเมนูเป็น ‘Lamp Curry’ ซี่โครงแกะหมักในชิโอะโคจิ (Shio Koji) และเครื่องเทศ แล้วย่างบนเตาถ่านให้สุกปานกลาง ส่วนในถ้วยเป็นข้าวแกงกะหรี่เนื้อแกะ พร้อมผักดองอย่างแตงกวา มะเขือม่วง ตะลิงปลิง และเมล็ดพริกไทยดำ เป็น 2 เมนูที่ได้รสชาติเข้มข้นจัดจ้านสไตล์อาหารอินเดีย

ปิดท้ายด้วย ‘Mozzarella Ice Cream’ ไอศกรีมมอสซาเรลลา ราดน้ำมันมะกอกออร์แกนิกกลั่นสดจากเมืองซิซิลี โรยเกลือมาล์ดอนจากอังกฤษ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ได้รสชาติอร่อยลงตัว ส่วนความน่าสนใจอีกอย่างของที่นี่คือนอกเหนือจากการจับคู่อาหารกับ Wine Pairing แล้ว ยังมี Tea Pairing ที่เกิดจากความหลงใหลในการดื่มชาของเชฟชุนเอง โดยจะจัดเสิร์ฟเป็นชาจีนและญี่ปุ่นแบบเย็นระหว่างคอร์ส เพื่อเสริมรสชาติอาหารให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

 

‘Hoy Mara’ หนึ่งในเมนูสุดอลังการที่เสิร์ฟมาในลักษณะของเปลือกหอยบนก้อนหินและสาหร่ายสุดแปลกตา (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับฟรี เครื่องดื่ม Golden Needle (ชาดำ) หรือ Da Hong Pao (ชาอู่หลง) 1 พ็อต มูลค่า 200 บาท++ / ท่าน
สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC WORLD REWARDS MASTERCARD,
KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD,
KTC WORLD MASTERCARD 
เมื่อรับประทานครบ 4,000 บาทขึ้นไป / เซลส์สลิป (กรุณาแจ้งพนักงานเพื่อรับสิทธิ์)
 
พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด


1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


RESONANCE
ซอยสุขุมวิท 65 กรุงเทพฯ
เปิด วันพุธ-เสาร์ เวลา 18.00-21.00 น., วันอาทิตย์ เวลา 12.00-14.30 น. และ 18.00-21.00 น. (หยุดวันจันทร์และอังคาร)
โทร. 094 798 2897
www.facebook.com/resonance.bkk
www.instagram.com/resonance.bkk

3.BLUE BY ALAIN DUCASSE


BLUE BY ALAIN DUCASSE อีกหนึ่งร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งเจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวถึง 2 ปีซ้อน (2021 และ 2022) รวมถึงติด 1 ใน 50 Asia’s 50 Best Restaurants 2022 อีกด้วย ก็เพียงพอแล้วที่จะการันตีความอร่อยล้ำของร้านอาหารแห่งนี้

ด้านบรรยากาศร้าน ตัวร้านดูโดดเด่นนับตั้งแต่โถงรับรอง ภายใต้แรงบันดาลใจจากอุทยานของพระราชวังแวร์ซายส์ โดยถ่ายทอดความหรูหราผ่านวัสดุทองเหลืองกับผนังและโคมไฟไม้วอลนัตท่ีลอยตัวลดหลั่นเรียงรายกันไปตลอดท้ังโซน เมื่อก้าวเข้าไปสู่บริเวณโซนรับประทานอาหาร ก็จะพบกับวิวพาโนรามาของโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านกระจกใสบานใหญ่ ให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับความงดงามของทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในระหว่างรับประทานอาหารได้แบบเต็มตา โดยเหนือขึ้นไปเป็นโคมระย้าประดับผ้าอัดพลีทสีครีมที่ซ้อนเล่นเลเยอร์กันดูคล้ายเกลียวคลื่น ซึ่งช่วยเพิ่มความโอ่อ่าให้กับบรรยากาศภายในร้าน ชวนสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น

 

BLUE BY ALAIN DUCASSE (Photo by KTC Culinary Collective)

นิยามอาหารของที่นี่เรียกว่า ‘Contemporary French Cuisine’ เป็นการถ่ายทอดอาหารฝรั่งเศสในรูปแบบร่วมสมัย หากยังคงไว้ซึ่งวัตถุดิบชั้นเลิศ ผสานเข้ากับความประณีตในทุกรายละเอียดขั้นตอนการปรุง ตลอดจนความเป็นเลิศในด้านการจับคู่สีของอาหารในแต่ละจานได้อย่างสวยงาม จัดเสิร์ฟความอร่อยท้ังแบบ A la carte และ Tasting Menu เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วย Canapes คำเล็ก ๆ หน้าตาน่ารัก โดยคำแรกเป็นทาโก้หัวเซเลอรีแอค (Celeriac) ท็อปไข่แดงเค็ม, คำท่ี 2 เสิร์ฟมาในช้อนไม้ คือฟัวกราส์เคลือบซอสลูกฟิก (Fig) วางบนคริสปี้ควินัว และชาร์โคลทาร์ตสอดไส้แฮมบายอน (Bayonne ham) โดยมีสโมคบีทรูทวางท็อปเป็นคำสุดท้าย ต่อด้วยของกินเล่นอีกเมนูคือ Amuse Bouche ซอร์เบต์ที่ทำจากแอสพารากัสกับถั่วเขียว เสิร์ฟคู่ขนมปังซอฟต์บริยอช ให้รสสัมผัสที่สดชื่น

เข้าสู่คอร์สแรกโดยเร่ิมจาก ‘Carabineros’ กุ้งแดงคาราบิเนรอสจากสเปนนำไปสโมคเบา ๆ เสิร์ฟคู่กับส้มโอสีชมพูและสีขาว แล้วท็อปด้วยโกลด์คาเวียร์ เนื้อกุ้งนุ่ม ๆ หอมกลิ่นสโมคนิด ๆ เมื่อรับประทานคู่กับส้มโอสด จะให้ความรู้สึกสดชื่น ต่อมาเป็นเมนูปลาเฉดสีส้ม ‘Lightly Cooked Salmon French Brioche’ แซลมอนจากนอร์เวย์ โดยเน้นเสิร์ฟส่วนที่เรียกว่าเนื้อสัน (Loin) ซึ่งนำไปสโมค จากนั้นห่อด้วยใบกะหล่ำปลีและซอสแซลมอน ก่อนยัดเป็นไส้ขนมปังบริยอชอีกทีแล้วนำไปอบ เสิร์ฟมากับ Vin Jaune Sauce ตกแต่งด้วยอิคุระและผักชีฝรั่ง แล้วบีบเลมอนเล็กน้อยเพื่อช่วยตัดเลี่ยน ความดีงามของจานนี้คือเนื้อปลาที่ให้สัมผัสนุ่มเนียนละลายในปาก เหมือนกำลังกินขนมไปพร้อมกับลิ้มรสความอร่อยของแซลมอนชั้นดี

สำหรับเมนคอร์สจัดเต็มความอร่อยด้วยเมนู ‘Matured Duck’ อกเป็ดหมักพริกไทยกับน้ำผึ้ง รับประทานคู่กับซอสเชอร์รีอมารีนาผสมไวน์แดง เป็นการผสมผสานรสชาติให้มีความฉ่ำ หอมหวาน ส่วนของหวานทางร้านเลือกเสิร์ฟเป็นช็อกโกแลตที่ทางร้านผลิตเองโดย ‘เชฟอลัง ดูคาส (Alain Ducasse)’ จึงตั้งชื่อว่า ‘Chocolate From Our Manufacture In Paris’ ช็อกโกแลตทาร์ตโรยโกโก้นิบส์ (Cocoa Nibs) กรุบกรอบ รสขมผสมความหวานกำลังดี ปิดท้ายมื้อฉลองสุดพิเศษนี้ได้อย่างน่าประทับใจ

 

เมนู ‘Lightly Cooked Salmon French Brioche’ แซลมอนจากนอร์เวย์ ยัดเป็นไส้ขนมปังบริยอช ให้ความรู้สึกหมือนกำลังกินขนมไปพร้อมกับลิ้มรสความอร่อยของแซลมอนชั้นดี (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับฟรี เครื่องดื่ม Welcome Drink 1 ที่ มูลค่า 500 บาท / ท่าน / คอร์ส เมื่อรับประทานอาหารเมนู 9 คอร์ส / เซลส์สลิป
 
พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด


1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


BLUE BY ALAIN DUCASSE
ชั้น 1 ไอคอนลักซ์ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม กรุงเทพฯ
เปิด วันพฤหัสบดี-จันทร์ (หยุดวันอังคารและพุธ) เวลา 12.00-14.00 น. และ 18.00-22.00 น.
โทร. 065 731 2346
www.blue-alainducasse.com
www.facebook.com/bluebyalainducasse
www.instagram.com/bluebyalainducasse


4.LE VIPA


LE VIPA ร้านอาหารสไตล์ French-European ในบ้านแสนสวยด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ทิวดอร์ หนึ่งเดียวในย่านวิภาวดีรังสิต โดยเป็นร้านอาหารระดับมาสเตอร์พีซของ ‘กัปตันก้อง-เรืออากาศโท นภสูร ชยันตรดิลก’ ผู้หลงใหลในไวน์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น กระท่ังกลายมาเป็นนักวิเคราะห์ไวน์ และการลงทุนในไวน์มานานนับสิบปี ควบคู่ไปกับอาชีพนักบินพาณิชย์ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์การเดินทาง การรับประทานอาหาร และการชิมไวน์ท่ัวโลก

บ้านหลังงามแห่งนี้มีความโอ่โถงลงตัวบนพื้นที่อันกว้างขวางและเงียบสงบ ให้ความรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปเยือนปราสาทเล็ก ๆ ในยุโรป สิ่งสำคัญที่สุดในการเปิดร้านอาหารครั้งนี้คือการที่กัปตันก้องได้พบกับเชฟคู่ใจอย่าง ‘เชฟกิตติวงศ์ แสงชื่นถนอม’ ผู้ซึ่งหลงใหลในการทำอาหารและมากด้วยประสบการณ์จากร้านอาหารในประเทศอังกฤษ โดยเชฟได้นำความรู้จากการร่ำเรียนที่สถาบัน Le Cor-don Bleu ด้านอาหารฝรั่งเศสโดยเฉพาะมาร่วมรังสรรค์ความอร่อยที่ร้าน Le Vipa แห่งนี้ด้วย เพื่อมอบประสบการณ์ทานอาหารสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้เหล่าบรรดานักชิมและนักดื่มท่ีแสวงหาความทรงจำดี ๆ ระหว่างม้ืออาหาร ได้สัมผัสถึงความประทับใจกันถ้วนหน้า


 

LE VIPA (Photo by KTC Culinary Collective)

Signature Dish เริ่มต้นด้วย ‘ขากบฝรั่งเศส (Les Cuisses de Grenouille)’ เมนูสุดคลาสสิก เป็นขากบที่สั่งนำเข้าจากฟาร์มออร์แกนิกในประเทศฝรั่งเศส นำไปผัดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม และเนย โดยเนื้อขากบมีความนุ่มและสีขาวใสคล้ายปลาหิมะ ให้รสออกหวานไม่คาว เรียบง่าย แต่ละเมียดละไมทุกคำ ส่วนจานต่อมาคือ ‘สแปนิชซีซาร์สลัด (Spanish Caesar)’ เมนูนี้การันตีว่าไม่มีเสิร์ฟที่ไหนในโลกนอกจากที่นี่ โดดเด่นด้วยสุดยอดวัตถุดิบ ท้ังไอเบอริโกแฮมเกรดสูงสุดจากสเปนที่มีช่ือว่าไอเบอริโกแฮม เบลลอตต้า (Jamon Iberico Bel- lota) บ่มนานกว่า 48 เดือน เป็นแฮมส่วนท่ีดีที่สุด และชีสปาร์มีจาโนเรจจาโนหรือพาร์เมซานที่มีความพิเศษเพราะบ่มนานกว่าปกติ เสิร์ฟพร้อมผักเบบี้คอสสั่งตรงจากโครงการหลวง แล้วราดเดรสซิ่ง ได้ซีซาร์สลัดที่มีทั้งความเข้มข้นจากชีสและแฮม บวกกับความสดชื่นจากผักสดที่รวมอยู่ในจานเดียว

อีกหนึ่งจานสุดสร้างสรรค์ด้วยไอเบอริโกแฮม เบลลอตต้า วัตถุดิบระดับพรีเมียมกับเมนู 'ไอเบอริโก พาสต้า (Iberico Pasta)’ เส้นพาสต้าแคปเปลลินี หรือแองเจิลแฮร์ผัดสไตล์ A.O.P หรือกระเทียม น้ำมัน และพริก ตัดรสด้วยมะเขือเทศอบแห้ง และไอเบอริโกแฮมเบลลอตต้าที่ผลิตจากหมูในฟาร์มเปิดธรรมชาติ ทำให้ไขมันในตัวหมูมีลักษณะเหมือนไขมันชนิดดีจากปลาทะเล เป็นจานอร่อยที่อิ่มคุ้มและได้ประโยชน์ครบถ้วน ส่วนจานหลักที่ไม่ควรพลาดสำหรับสายเนื้อ ขอแนะนำ ‘ซี่โครงแกะย่าง (Rack of Lamb Taylor Preston)’ ซี่โครงแกะจากประเทศนิวซีแลนด์และซอสแลมป์จูส์ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงนานาชนิดที่มาพร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ และอีกหนึ่ง Signature Dish ที่น่าลองไม่แพ้กันคือ ‘สเต๊กวากิว (A5 Wagyu)’ เนื้อวัวนุ่มชุ่มฉ่ำที่ย่างมาในระดับมีเดียมแรร์ พร้อมเพิ่มรสสัมผัสอื่น ๆ ด้วยผักเครื่องเคียงนานาชนิด เป็นการเติมเต็มความอร่อยฉลองมื้อพิเศษได้อย่างเพอร์เฟ็กต์

 

เมนู ‘ขากบฝรั่งเศส (Les Cuisses de Grenouille)’ ความอร่อยสุดคลาสสิกที่มาหร้อมความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับส่วนลด 10% เฉพาะค่าอาหาร (ไม่รวมค่าภาษีและค่าบริการ)
 
พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด

1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


LE VIPA
ซอยวิภาวดีรังสิต 60 แยก 18-1-2 กรุงเทพฯ
เปิด วันศุกร์-พุธ (หยุดวันพฤหัสบดี) เวลา 17.00-24.00 น.
โทร. 080 747 4487
www.facebook.com/people/Le-Vipa/100077520525529

5.CROSS


CROSS ร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งที่มีการผสมผสานรสชาติอาหารจีนเข้าไว้กับอาหารฝรั่งเศส ภายใต้การทำงานร่วมกันของสองพี่น้องทายาทรุ่นที่สามแห่ง ‘รื่นรสภัตตาคาร’ โดยแนวคิดนี้ทั้งหมดนี้สามารถอธิบายความของชื่อร้านภาษาอังกฤษคำเดียวสั้น ๆ ว่า ‘Cross’ ไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยจิตวิญญาณของคนรุ่นใหม่ สองพี่น้องจึงได้รับการต่อยอดพัฒนาเป็นอาหารจีนที่ดูรุ่มรวยหรูหราทว่าร่วมสมัย ภายใต้เทคนิคการปรุงแบบฝรั่งเศส และที่สำคัญคือรับประทานง่าย ทลายกำแพงของอาหารจีนดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาไว้ซึ่งรสชาติแบบจีนต้นตำรับ

 

CROSS (Photo by KTC Culinary Collective)

อาหารของร้านมีทั้งหมด 11 คอร์ส โดยแบ่งออกเป็น 4 องก์ เลียนแบบโต๊ะจีน เรียงลำดับจากออร์เดิร์ฟ 4 ประเภทในองก์แรก ตามด้วยองก์สองคือซุป ก่อนเข้าสู่เมนคอร์สอีก 4 จาน จบด้วยของหวานสองอย่างเป็นองก์สุดท้าย ซึ่งก่อนเริ่มต้นคอร์ส ทางร้านจะเสิร์ฟน้ำเก๊กฮวยเย็น ซึ่งเป็นเก๊กฮวยดอกตูม ที่ต้องเก็บในฤดูหนาวเท่านั้น โดยรินจากดีแคนเตอร์ (De-canter) ใส่แก้วแชมเปญ เพื่อให้พร้อมเปิดรับรสชาติแบบจีน สำหรับความอร่อยเด็ดขององก์แรกคือ ‘ไข่ตุ๋นปู’ ไข่นุ่มเนียนเนื้อเจล ผสานมากับน้ำซุปที่ผ่านการ Double Boil แบบกรรมวิธีจีน เป็นการจุ่มหม้อลงในหม้ออีกใบ ต้มในน้ำเดือดนาน 12 ชั่วโมง ก่อนจะนำไปนึ่ง แล้วแต่งหน้าด้วยปูสามเน้ือสัมผัส มีเนื้อปูส่วนอกสีขาว สีเข้มจากเนื้อส่วนก้าม และชิ้นตรงกลางเป็นไข่ปูสุกกำลังดี ได้ความอร่อยรสละมุนเหมือนรับประทานซุปมากกว่าไข่ตุ๋น

ก่อนเข้าสู่องก์สอง เชฟจะชงชาให้ดื่มล้างความมัน ตามมาด้วยการยกซุปกระเพาะปลาสดมาให้รับประทาน น้ำซุปที่ได้ในถ้วยนี้เป็นซุปที่เคี่ยวมาจากการเลาะกระดูกไก่แก่ ใช้เวลาต้มนานหนึ่งวันเต็ม ๆ กระทั่งไก่เริ่มนุ่ม ก่อนนำไปกรองเอาแต่น้ำล้วน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกระเพาะปลาแท้ชั้นดี ผสมผสานสมุนไพรจีนโบราณอย่างฮ่วยซัวกับเก๋ากี้ และยังมีกังป๋วยหรือหอยเชลล์แห้งช่วยเพิ่มสัมผัสกรอบเด้งหนุบหนับ ให้รสชาติละมุนกลมกล่อม ไร้กลิ่นคาว ส่วนจานเด่นในองก์สาม ได้แก่ ‘ปลาเก๋าแดงราดซีอิ๊ว’ ย่างเฉพาะด้านหนังแล้วนำไปอบต่ออีก 4 นาที ราดน้ำซีอิ๊วแบบจีน ใช้แผ่นปะการังต้นหอมทอด (Tuile) แทนหอมซอยโรยหน้าและใช้น้ำมันขิงแทนขิงสับ ด้านล่างเพิ่มแครอทพิวเร (Perée) เสริมหน้าตาแบบสากล แต่ได้รสชาติอาหารจีนแท้ ๆ แล้วปิดท้ายมื้อด้วยของหวานอย่าง ‘บัวลอยน้ำขิง' ที่เสิร์ฟมาแบบเย็น เป็นแป้งโมจิห่อไอศกรีมงาดำ เคียงด้วยวิปครีมน้ำขิงเข้มข้นรสเผ็ดร้อนเมื่อตักรับประทานคู่กับโมจิจะกลมกล่อมเข้ากัน เป็นการฉลองมื้อพิเศษด้วยอาหารจีนในแบบฝรั่งเศสที่นำเสนอความอร่อยออกมาได้อย่างน่าประทับใจ

 

เมนู ‘บัวลอยน้ำขิง' ที่เสิร์ฟมาแบบเย็น ดูแปลกตาจากขนมหวานทั่วไปที่หลายคนรู้จัก (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับฟรี เครื่องดื่มชา 1 เซต มูลค่า 300 บาท เมื่อรับประทานครบ 2,000 บาทขึ้นไป / เซลส์สลิป
 
พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด

1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


CROSS
บางกอกสแควร์ กรุงเทพฯ
เปิด วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 18.30-21.00 น., วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 12.00-14.30 น. และ 18.30-21.00 น. (หยุดวันจันทร์)
โทร. 097 245 9899
www.facebook.com/crossbkk2021
www.instagram.com/cross_bkk


6.JHOL COASTAL INDIAN CUISINE


จากอาหารอินเดียแถบชายฝั่งทะเลตอนใต้สู่ใจกลางย่านสุขุมวิท นี่คือร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งโดยเชฟชาวอินเดียชื่อดัง ‘ฮาริ นายัก (Hari Nayak)’ เจ้าของหนังสืออาหารขายดีระดับโลกอย่าง ‘Modern Indian Cooking’ ด้วยมีพื้นเพเกิดและเติบโตมาในเมืองอูดูพี (Udupi) แถบอินเดียตอนใต้ ทำให้เชฟฮาริซึมซับและหลงเสน่ห์ในอาหารอินเดียแถบถิ่นบ้านเกิดเป็นชีวิตจิตใจ รวมถึงเป็นเหตุผลที่เชฟเลือกเปิดร้าน Jhol Coastal Indian Cuisine แห่งนี้ ที่กรุงเทพฯ เพราะมองว่าเมืองไทยมีภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับทางอินเดีย โดยเฉพาะอาหารใต้ของเมืองไทยที่มีรสชาติใกล้เคียงกับอาหารบางชนิดในรัฐทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังการันตีความอร่อยด้วยการได้รับรางวัล MICHELLIN GUIDE ส่งท้ายปี 2022 อีกด้วย จึงมั่นใจได้ว่าการฉลองมื้อสำคัญนี้จะต้องพิเศษกว่าครั้งไหน ๆ อย่างแน่นอน

สำหรับทำเลที่ตั้งของร้านนั้น เป็นบ้านหลังเก่าใต้เงาร่มครึ้มของต้นไม้ใหญ่ โดยบรรยากาศภายในอบอวลไปด้วยกลิ่นอายศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของอินเดีย ส่วนด้านอาหารที่นี่มีให้เลือกรับประทานท้ังแบบ A la carte และ Tasting Set Menu

 

JHOL COASTAL INDIAN CUISINE (Photo by KTC Culinary Collective)

รูปแบบอาหารอินเดียแนวทะเลตอนใต้ของประเทศอินเดียที่เชฟฮาริเลือกมานำเสนอ ครอบคลุมอาณาเขตต้ังแต่เมืองทางทิศตะวันตกอย่างชายฝั่งมะละบาร์ (Malabar) ไปจรดกงกัณ (Konkan) ขยายไปยังเขตเมืองฝั่งตะวันออกอย่างเจฏฏินาฑ (Chettinad) ปุฑุเจรี (Pondi- cherry) และอ่าวเบงกอล (Bengal) โดยพื้นที่แถบนี้มีวัตถุดิบหลักอยู่ 2 ประเภท นั่นคือมะพร้าวและซีฟู้ด ผู้คนในท้องถิ่นนี้นิยมรับประทานข้าวมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ในอินเดีย รวมถึงแป้งโดซา (Dosa) ที่ทำมาจากข้าวผสมถั่ว ทำให้ตัวเนื้อแป้งนั้นนุ่มบางคล้ายแป้งเครป พร้อมเน้นรสชาติอาหารออกไปทางเผ็ดร้อน

เริ่มต้นเปิดรับประสบการณ์แห่งรสชาติอินเดียแถบทะเลตอนใต้ ด้วยเมนูที่มีเสิร์ฟที่ร้านนี้แห่งเดียวเท่านั้น คือ ‘Masala Maska Bun’ ขนมปังอบใหม่สอดไส้เครื่องเทศมาซาลา (Masala) กับมันฝรั่งบด มีเนยเปา บาจี (Pav Bhaji Butter) สีเหลืองเข้มโรยผงเครื่องเทศ Gunpowder ที่เสิร์ฟมาให้รับประทานคู่กัน เมนูถัดมาชื่อว่า ‘Bubbles’ กรวยคู่ขนาดเล็กปักมาบนถั่วเขียว ด้านในอัดแน่นด้วยมันฝรั่งบดกับมาซาลา ท็อปปิ้งด้วยเครื่องปรุงรสสไตล์อินเดีย (Chutney) โดยทางร้านเลือกใช้ชัทนีย์มะเขือเทศ (Tomato Chutney) ที่ให้รสเปรี้ยวนิด ๆ เมนูนี้ให้รสสัมผัสที่หลากหลาย ทั้งความกรุบกรอบเค็มมันผสานเผ็ด แล้วตัดเปรี้ยว ช่วยสร้างสมดุลในคำเดียว สำหรับจานที่สามพบกับ ‘Kerala Mutton Roast’ เนื้อแพะหมักเครื่องเทศหอมเข้มข้น รสชาติคล้ายผัดพริกไทยดำของเมืองไทย ตักเสิร์ฟมาบนแป้ง Mala-bar Parotta ที่มีลักษณะคล้ายแผ่นแป้งโรตี ส่วนจานหลักที่การันตีความอร่อยล้ำ คือ ‘Ghee Roast Chicken' ไก่ผัดกับเครื่องเทศและเนยรสเผ็ดจัดจ้าน เสิร์ฟคู่กับแป้งคริสปี้โดซา (Crispy Dosa) รูปโดมอลังการ และชัทนีย์มะพร้าว (Coconut Chutney) สีสันในการรับประทานคือต้องฉีกแผ่นแป้งเป็นชิ้นพอดีคำก่อนปาดชัทนีย์ แล้วตักไก่ผัดวางชั้นสุดท้าย จะได้รสชาติแห่งอาหารชายฝั่งทะเลอินเดียตอนใต้อย่างถึงเครื่อง

 

‘Bubbles’ หนึ่งในเมนูเรียกน้ำย่อย สำหรับเปิดรับประสบการณ์แห่งรสชาติอินเดียแถบทะเลตอนใต้ (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับส่วนลด 15% เฉพาะค่าอาหาร
สำหรับเมนู A la carte เท่านั้น เมื่อรับประทานครบ 3,000 บาทขึ้นไป / เซลส์สลิป
 
พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด

1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


JHOL COASTAL INDIAN CUISINE
ซอยสุขุมวิท 18 กรุงเทพฯ
เปิดทุกวัน เวลา 12.30-22.30 น.
โทร. 02 004 7174
www.jholrestaurant.com
www.facebook.com/JHOLbkk
www.instagram.com/jholbkk


7.THE G.O.A.T GREATEST OF ALL TIME


The G.O.A.T Greatest Of All Time เป็นร้านอาหารที่พร้อมพานักชิมทุกคนเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ภาพจำในวันวาน โดยมีรสชาติอาหารแบบไฟน์ไดน์นิ่งเป็นสื่อกลางเช่ือมโยง ส่วนคำว่า ‘G.O.A.T’ นั้นแปลตรงตัวได้ว่า ‘แพะ’ ซึ่งเป็นปีเกิดของ ‘เชฟแทน-ภากร โกสิยพงษ์’ ผู้เป็นเจ้าของร้าน โดยในทางคู่ขนานก็เป็นคำสแลงในภาษาดนตรีฮิปฮอปที่เชฟแทนชอบฟัง ซึ่งหมายถึง ‘ยอดเยี่ยมที่สุด ตลอดกาล’ อีกด้วย

เชฟแทนได้นำเอาความหลงใหลในเสน่ห์งานสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโน-โปรตุกีส (Sino-Portuguese) ที่เห็นตามอาคารสองฝั่งบนถนนถลางของจังหวัดภูเก็ต มาใช้กับการตกแต่งร้าน ภายนอกโดดเด่นด้วยกำแพงสีน้ำเงินโคบอลต์กับบานประตูไม้สไตล์จีนโบราณ ภายในเปิดต้อนรับอย่างต่ืนตาด้วยภาพวาดหญิงสาวชาวจีนอุ้มแพะ สร้างสรรค์โดย Pabaja Studio ซึ่งอุปมาอุปไมยได้ว่าแพะนั่นคือเชฟแทน ส่วนหญิงสาวคือคุณแม่ นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์มงคลของจีนอย่างนกกระเรียน ดอกไม้ น้ำชา และสัตว์ประจำ 12 ราศี ที่พิมพ์ลายสีสันสดใสอยู่บนผ้าคาดโต๊ะ รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับโครงสร้างอาคารท่ีเน้นโชว์ความดิบเท่ของผนังร้านและจงใจทาสีให้ดูหลุดลอกแตกหัก เพื่อสร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

 

THE G.O.A.T GREATEST OF ALL TIME (Photo by KTC Culinary Collective)

แนวทางของอาหารนิยามได้ว่าเป็น ‘Off-beat Asian Cuisine’ เน้นรสสัมผัสคุ้นเคยแต่ไม่อาจระบุชัดว่าเป็นอาหารสัญชาติใด ภายใต้การนำเสนอที่สนุกสนาน ด้วยการสร้างสรรค์ธีมมาครอบอาหารไว้อีกที โดยจะสับเปลี่ยนไปในทุก ๆ 5-6 เดือน ตามวัตถุดิบแต่ละฤดูกาล เป็นธีมท่ีเน้นกลิ่นอายหรือวัฒนธรรมไทย รวมถึงความทรงจำในวัยเด็กมาให้ได้ลิ้มลองกัน

จานแรกคือ ‘Those Look Delicious’ ด้วยแรงบันดาลใจจากขนมครก เชฟจึงเลือกใช้แป้งเดียวกันกับท่ีใช้ทำขนมครก ส่วนเน้ือด้านในใช้ปูม้าจากสุราษฎร์ธานี มาคลุกเคล้ารวมกับยอดมะพร้าวอ่อนดอง ใบชิโสะ สาหร่ายดอง ตามด้วยส้มจี๊ดด้านบน และแทนท่ีฝอยทองด้วยบาฟุนอูนิ (Bafun Uni) ส่วนหน้าปลาแห้ง เปลี่ยนเป็นอิคุระ (Ikura) เสิร์ฟมาในโคนไอศกรีมที่ช่วยเพิ่มเนื้อสัมผัสความกรอบกรุบขณะเคี้ยว เมนูแนะนำถัดมาเป็นการผสานวัตถุดิบที่ไม่เคยนำมาปรุงร่วมกันแต่ได้รสชาติอร่อยล้ำ กับการใช้ชื่อว่า ‘A Perfect Combination’ โดยด้านล่างสุดเป็นขนมกุยช่ายราด Sticky Soya Sauce ชั้นถัดมาเป็นหอยเชลล์จากจังหวัดตราด นำมาเซียร์กับพริกดอง ชั้นที่สามคือไข่แดงดิบออร์แกนิก และชั้นสุดท้ายคือโฟมเห็ดชิตาเกะ จบด้วยผงชะครามที่ให้รสเค็ม ๆ มัน ๆ รสชาติโดยรวมให้หลากหลายเนื้อสัมผัส รวมทุกเลเยอร์เข้าด้วยกันไว้ได้อย่างลงตัว

ส่วนเมนูขนม ‘สาวน้อยตกน้ำ’ นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากเกมการละเล่นของไทยในงานรื่นเริง ประกอบด้วย กรานิต้าลิ้นจี่และกระท้อนโรยดอกคาโมมายล์ ส่วนตุ๊กตาสาวน้อยตกน้ำหล่อขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ซิลิโคนฟู้ดเกรด แล้วเทโยเกิร์ตโฮมเมด ผสมน้ำผึ้งป่าลงไปก่อนนำเข้าแช่ในช่องฟรีซ เมื่อจับตัวกันดีแล้วจึงนำออกมาจุ่มในโกโก้บัตเตอร์อีกรอบ ใช้ช้อนเคาะให้แตกก่อนรับประทาน ให้ความหอมหวานชื่นใจคล้ายหวานเย็นขนมสุดโปรดในวัยเด็กของใครหลาย ๆ คน

 

‘Those Look Delicious’ เมนูทานเล่นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมครก แต่มีส่วนผสมที่แตกต่าง (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับฟรี ต้นมิ้นต์เมนทอล 1 ต้น มูลค่า 350 บาท เมื่อรับประทาน 4 ท่านขึ้นไป / เซลส์สลิป
(มิ้นต์เมลทอล คือ หนึ่งในสมุนไพรที่เสิร์ฟมาในชุดน้ำชา Farm Suk)
 
พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด

1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


THE G.O.A.T GREATEST OF ALL TIME
ซอยเอกมัย 10 แยก 2 กรุงเทพฯ
เปิด วันพุธ-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์และอังคาร) เวลา 18.00-23.00 น.
โทร. 095 420 0706
www.facebook.com/greatestofalltimebkk
www.instagram.com/greatest.of.all.time.bkk


8.984 WOLF


984 WOLF ร้านอาหารแห่งนี้มาพร้อมกับตัวเลข ‘984’ ซึ่งเป็นเลขที่บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้อายุ 60 ปี หลังนี้ ส่วนคำว่า ‘Wolf’ ที่หมายถึงหมาป่านั้น คือชื่อที่ ‘เชฟแก้ว-ญาดา เรืองสุขอุดม, ‘คุณมีมี่-กิ่งกานต์’ และ ‘คุณสลากร-ธนวัฒน์’ หุ้นส่วนคนสำคัญเลือกใช้เพื่อสื่อถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีม พร้อมใจกันรังสรรค์ร้านอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของผู้คน โดยใช้อาหารสไตล์โมเดิร์นยูโรเปียนที่ทวิสต์ (Twist) เข้ากับอาหารญี่ปุ่น เป็นตัวกลางเชื่อมโยงทุกคนเข้าหากัน

เอกลักษณ์ของที่นี่อยู่ที่กรรมวิธีการปรุงโดยใช้ไฟ ฟืน และเปลวไฟเป็นหลัก เหตุเพราะเปลวเพลิงคือเสน่ห์อันอยู่เหนือการควบคุมที่เชฟแก้วหลงใหล ส่งอิทธิพลไปถึงการตกแต่งร้านอย่างการใช้แผ่นไม้เผาผิวจนไหม้เกรียมสไตล์ Ya-kisugi ตามภูมิปัญญาชาวญี่ปุ่น มีโทนสีดำที่ตัดกับสีแดงอิฐบริเวณ โถงชั้นล่าง ตามด้วยดีไซน์เคาน์เตอร์ต้อนรับที่กรุทองเหลืองอันมีนัยถึงโลหะที่ผ่านการเผาไหม้ ตลอดจนครัวเปิดผนังอิฐแดงที่มีคุณสมบัติทนไฟ และในเมื่อเป็นรังของฝูงหมาป่า พระจันทร์จึงเป็น สัญลักษณ์ของร้าน โดยออกแบบสั่งทำพิเศษให้เป็นโคมไฟเลียนแบบพระจันทร์ แขวนดวงกลมโตลอยเด่นอยู่เหนือห้องครัว นอกจากนี้ยังจัดวางโคมไฟทรงกลมเล็ก ๆ ไว้ทุกโต๊ะ เพื่อเชื่อมโยงกับแนวคิดที่ว่า ‘แสงไม่มีตัวตน แต่มีความรู้สึก’ ซึ่งทางร้านให้ความสำคัญกับงานออกแบบจัดแสงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณชั้น 2 ที่ให้อารมณ์โรแมนติกราวกับภาพฝัน เหมาะแก่การมานั่งดินเนอร์ฉลองค่ำคืนส่งท้ายปีอย่างมาก

 

984 WOLF (Photo by KTC Culinary Collective)

ที่นี่คัดรรเฉพาะวัตถุดิบซูเปอร์ลักชัวรีที่สดใหม่เท่านั้น ปราศจากอาหารแช่แข็งทุกประเภท เมนูของที่นี่จึงมีไม่มากนัก หากแต่ทุกเมนูผ่านกระบวนการคิดมาแล้วอย่างซับซ้อน ซึ่งหมายรวมไปถึงการนำเสนออาหารมาในภาชนะสั่งทำพิเศษ เพื่อเสริมให้หน้าตาของอาหารจานน้ันยิ่งน่าสนใจมากข้ึน ต้อนรับความอร่อยด้วยสองเมนูที่มีขนมปัง จานแรกคือ ‘Foie Gras & Blueberry’ นำเสนอเป็นช้ินเล็ก ๆ พอดีคำสไตล์คานาเป้ ให้รสสัมผัสกรุบกรอบของขนมปังบริยอชโทสต์ ผสมผสานกับฟัวกราส์นุ่มชุ่มลิ้น พร้อมด้วยบลูเบอร์รีที่มาช่วยตัดรสชาติ จานที่ 2 คือ ‘Uni Toast’ ขนมปังซาวโดวจ์ย่างบนเตาถ่านจนกรอบหอม ราดซอสไข่ที่ดองกับมิรินและโชยุนานข้ามวัน (Mari-nated Egg Yolk) ส่วนไข่หอยเม่นทะเลเลือกใช้อากะอูนิ (Aka Uni) สายพันธุ์ที่ดีที่สุด ให้รสชาตินุ่มหวานละมุนที่มาพร้อมกลิ่นอายของท้องทะเล

อีกเมนูเด็ดไม่ซ้ำใครคือ ‘Arroz' ที่หยิบยืมแนวคิดมาจากข้าวต้มรอบดึก ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมการกินแบบเชียน นำมาต่อยอดตีความเป็นข้าวต้มสไตล์หรูหราและเป็นสากล โดยมีกรรมวิธีการทำเบสซุปคล้ายกับล็อบสเตอร์บิสค์ (Lobster Bisque) ซึ่งใช้ข้าวญี่ปุ่นโคชิฮิคาริต้มมาในหม้อเหล็ก พร้อมเครื่องซีฟู้ดล้นหม้อ อย่างปลาหมึกหิ่งห้อย โฮตารุอิกะ (Hotaru Ika) ปลาคินเมได (Kinmedai) ย่างเตาถ่าน หอยเชลล์สดเนื้อหวาน หอยเป๋าฮื้อ และล็อบสเตอร์ตัวยักษ์เนื้อนุ่มเด้ง โดยมีให้เลือกซดร้อน ๆ 3 ขนาด คือ Arroz Lobster สำหรับ 1-2 คน, Arroz ‘Supreme’ Size S กลุ่มเล็ก 2-4 คน และ Size L ให้ได้อิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า จำนวน 6-8 คน เลยทีเดียว

จบมื้อด้วยเฟรนช์โทสต์ในรูปแบบที่ทางร้านสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ชื่อว่า ‘Woof Woof! Honey Toast’ บริยอชแช่ในวานิลลาข้ามคืน ก่อนนำมาอบและย่างจนนุ่มไปถึงเนื้อใน โรยหน้าด้วยเกล็ดขนมปังบราวน์บัตเตอร์ เสิร์ฟคู่กับทรัฟเฟิลฮันนี่ และไอศกรีมรสเค็ม โดยเมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมปังปิ้งทาครีมที่มีรสเค็มปะแล่ม ๆ ตามร้านรถเข็นบนริมทางเท้าย่านเยาวราชนั่นเอง เรียกว่าเป็นการทวิสต์ความอร่อยแบบครบรสที่ทำให้การรับประทานอาหารมื้อฉลองส่งท้ายปีนี้มีความพิเศษกว่าที่เคย!

 

หลากหลายเมนูซิกเนเจอร์สไตล์โมเดิร์นยูโรเปียนที่ทวิสต์ (Twist) ความอร่อยเข้ากับอาหารญี่ปุ่นอย่างลงตัว (Photo by KTC Culinary Collective)

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD ทุกประเภท
รับฟรี เมนู Pao De Lo หรือ เมนู Basque Cheese Cake มูลค่า 300 บาท
เมื่อรับประทานครบ 3,000 บาทขึ้นไป / เซลส์สลิป
 
พร้อมรับคะแนน KTC สุดสูง x10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD
และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด


1 ส.ค. 65 - 31 ม.ค. 66


984 WOLF
ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 17 แยก 7 กรุงเทพฯ
เปิด วันอังคาร-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) เวลา 17.00-21.30 น.
โทร. 080 939 4973
www.facebook.com/WOLF984Bangkok
www.instagram.com/984wolf

หากใครที่กำลังมองหาร้านอาหารดินเนอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมเปิดประสบการณ์ทานอาหารหลากหลายสัญชาติสไตล์ Fine Dining ท่ามกลางบรรยากาศดี ๆ เนื่องในโอกาสฉลองส่งท้ายปี 2565 นี้แล้วละก็ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม สำหรับร้านอาหารหรูในกรุงเทพ เชียงใหม่ และภูเก็ตได้ที่ https://ktc.promo/culinary-collective-v2-bkk-menu หากยังไม่มีบัตรเครดิต KTC MASTERCARD คลิกสมัครเลย https://ktc.promo/apply-mastercard