Funky Lam Kitchen returns
กลับมาอีกครั้งกับรสชาติอาหารลาวในตำนานกับ Funky Lam Kitchen ร้านอาหารลาวโมเดิร์นที่ย้ายบ้านจากทองหล่อมาอยู่โกดังสุดเก๋ในย่านเมืองเก่าที่ฮิปสุด ๆ อย่าง ‘ตลาดน้อย’ บนชั้น 3 ของ The Warehouse Talad Noi ซึ่งยังคงบรรยากาศสนุก ๆ พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มแก้วโปรดเคล้าคลอไปกับเมนูตำรับลาวที่ครีเอตรสชาติขึ้นภายใต้แนวคิด “Bringing elevated Lao cuisine to the world, one funky dish at a time.”
Not Just a Meal, It’s a Whole Mood
ตัวร้านแอบซ่อนอยู่บนชั้น 3 ของโครงการ The Warehouse Talad Noi ตกแต่งให้ชวนคิดถึงประเทศลาวในช่วงยุค 60’s ด้วยวัสดุจากหวาย ผ้าไหม และโปสเตอร์วินเทจ ตัดกับโครงตึกดิบ ๆ ของย่านตลาดน้อย เมื่อตกค่ำไฟโทนแดงเปิดขึ้น พร้อมดนตรีสนุก ๆ แบบอินโดจีน กลิ่นควันเตาถ่าน และโต๊ะยาวที่ชวนให้แชร์อาหารกันกับครอบครัวและผองเพื่อน ในบรรยากาศสบาย ๆ ให้ได้พูดคุย เม้ามอยและชนแก้วกันวนไปตลอดค่ำคืน ทำให้ที่นี่รู้สึกผ่อนคลายเหมือนนั่งกินข้าวบ้านเพื่อนมากกว่า เพราะ Funky Lam อยากให้ทุกคนรู้สึกว่า “มากินข้าวบ้านเรา” มากกว่ามาแค่เช็กอินร้านดัง ไม่ว่าจะอยากนั่งจอย ๆ ที่เคาน์เตอร์บาร์ นั่งรวมโต๊ะกับชาวแก๊ง หรือนั่งโซฟาแบบเป็นส่วนตัว ก็สามารถสนุกได้ทุกรูปแบบเมื่อแวะเวียนมา
From Family Stories to a Soulful Kitchen
จากเรื่องเล่าครอบครัว สู่ครัวลูกผสม เบื้องหลังร้านคือสองเพื่อนสนิทอย่างคุณ Sanya Souvanna Phouma และ คุณ Saya Na Champassak ที่เติบโตมากับรสชาติบ้านเกิดของครอบครัวเชื้อสายลาว - จำปาสัก และเรื่องเล่าของคุณปู่ ซึ่งอดีตเป็นเจ้าชายที่ละทิ้งบัลลังก์เพื่อรวมแผ่นดิน และอีกฝ่ายที่เป็นอดีตนายกฯ ลาว กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งคู่หยิบ “ความทรงจำริมแม่น้ำโขง” ตั้งแต่บาร์บีคิวริมน้ำ สมุนไพรจำปาสัก ไปจนถึงสูตรอาหารบ้าน ๆ มาตีความใหม่ในแบบร่วมสมัย แต่ยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความภูมิใจในรากเหง้าของลาว
หัวใจของ Funky Lam คือ “Funk” ในแบบอาหารลาว ที่มีความ “นัว” เป็นหัวใจหลัก ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหมักปลาร้าที่ซับซ้อน รสเผ็ดจัดจากพริกพื้นบ้าน เปรี้ยวจี้ดจ้าด หอมกลิ่นสมุนไพร และกลิ่นสโมคจากเตาถ่านที่แตะทุกคำให้มีกลิ่นควันนิด ๆ อย่างเป็นเอกลักษณ์ เสิร์ฟมาในสไตล์แชร์จานใหญ่วางกลางโต๊ะ กินกับข้าวเหนียวและน้ำจิ้มหลายแบบให้จิ้มเพลิน ๆ ก่อนจะตามด้วย Beerlao เย็น ๆ หรือไวน์ดื่มง่ายแต่มีคาแรกเตอร์ พร้อมเสิร์ฟให้จับคู่กับรสจัดจ้านของอาหารลาวได้ลงตัว สำหรับมื้อนี้เริ่มต้นที่ Hoy Sai Oua (350 บาท) ที่โดดเด่นด้วยเพสไส้อั่วที่นำไปผัดกับแจ่วบองจินดาหอมควัน ก่อนจะคลุกเคล้ากับหอยตลับ รสเผ็ดเค็มหอมสมุนไพรแบบลาวที่ตัดกับความหวานธรรมชาติของหอยอย่างพอดี
ต่อกันที่ Gai Ping (360 บาท) ไก่ปิ้งชิ้นฉ่ำที่ย่างจนได้กลิ่นหอมถ่านกำลังดี เสิร์ฟคู่กับอะโวคาโดแจ่วเนื้อเนียนที่ให้รสเปรี้ยวเค็มหวานคล้ายซอสส้มตำราดแบบกลมกล่อม เติมความหอมกรุบด้วยกระเทียมเจียว ทำให้ทั้งจานมีเลเยอร์รสชาติที่ตัดกันอย่างลงตัว กินง่ายและชวนให้ตักซ้ำแบบเพลิน ๆ
หรือจะลองเป็นเมนูยอดฮิตอย่าง Or Lam Seen (920 บาท) เอาะหลามสูตรลาวดั้งเดิมที่ถูกตีความอย่างร่วมสมัยในแบบนุ่มละมุนกว่าเดิม ซุปเข้มข้นสไตล์ลาวที่ใช้น้ำน้อย ให้รสลึกซึ้งจากน้ำปลาร้า หนังปอง และสมุนไพรพื้นบ้านอย่างสะค้าน พริก มะเขือ และยอดพริก เคี่ยวกับซี่โครงเนื้อแองกัส ก่อนเติมเห็ดและผักหลากชนิดให้เลเยอร์รสชาติแน่นขึ้นอีกขั้น ทั้งชามให้ความรู้สึกอบอุ่น หอมเครื่องสมุนไพรแบบลาว แต่ทานง่าย ไม่เผ็ดจัด คล้ายแกงอ่อมไทยที่ถูกปรับให้ละเมียดละไมขึ้น กลายเป็นหนึ่งในจานที่ทั้งกลมกล่อม ซับซ้อน และอบอวลด้วยเสน่ห์ลาวแท้ที่ยากจะลืม
ปิดท้ายกันด้วย Yam Naem Thadeua (280 บาท) ยำแหนมรสจัดที่ถูกตีความใหม่ในแบบวีแกน ใช้แหนมเห็ดย่างให้สัมผัสหอมควันแทนหมู คลุกกับน้ำยำรสเปรี้ยวจัดจ้านตามสไตล์แหนมท่าเดื่อ ได้ความสด คม และกลิ่นสมุนไพรที่ตัดกันอย่างลงตัว เป็นเมนูที่ทั้งเบา กินง่าย และชวนให้ตักต่อแบบเพลิน ๆ
