A Dining Experience of Contemporary Cuisine
ชวนสัมผัสโมเมนต์ทานอาหารมื้อพิเศษในบรรยากาศแสนอบอุ่นและเป็นส่วนตัว ให้คุณได้รู้สึกถึงความผ่อนคลายระหว่างการ Dining ที่ร้าน WOODs ร้านอาหารสไตล์ Casual Fine Dining สุดไพรเวทใจกลางซอยทองหล่อ 25 ที่พร้อมมอบประสบการณ์ความอร่อยครั้งใหม่ให้เหล่านักชิมผู้มาเยือนได้ลิ้มลองหลากหลายเมนูอาหารในแบบฉบับ Contemporary Cuisine ที่ไม่จำกัดนิยาม จำกัดสัญชาติใดเป็นพิเศษ แต่พร้อมเสิร์ฟแพสชั่นและความครีเอทีฟผ่านเมนูอาหารที่มีการผสมผสานกรรมวิธีทำจากหลากหลายสัญชาติเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นการมิกซ์ส่วนผสม ครีเอตรสชาติใหม่ที่ได้ความอร่อยลงตัวและมีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น
ภายใต้การดูแลของ ‘คุณปั้น-ณภัทร มธุรันยานนท์’ และ ‘คุณเติ้ง-ชรัช นุกรณ์นวรัตน์’ 2 เชฟเจ้าของร้าน ผู้มากด้วยประสบการณ์การทำอาหาร คร่ำหวอดในวงการร้านอาหาร Fine Dining มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเกิดไอเดียเปิดร้านอาหารสไตล์ใหม่ที่มีความคาบเกี่ยวกันระหว่างความเป็น A La Carte และ Fine Dining โดยการให้บริการของที่นี่ได้ถอดแบบความเป็น Fine Dining ที่มีความพรีเมียมและพิถีพิถันเป็นพิเศษ พร้อมสร้างความต่างด้วย Option หมวดเมนูอาหารให้คนที่เข้ามาทานได้เลือกเมนูที่ต้องการในแบบฉบับ A La Carte ไปพร้อม ๆ กัน
WOODs Make Mood
ธีมหลักของทางร้านจะเหมือนเป็นการนั่งรับประทานอาหารในบ้านเพื่อน เคล้ามู้ดของความโรแมนติกด้วยนิดหน่อย โดยจะแบ่งสเปซออกเป็น 2 แบบ คือ โซนนั่งรับประทานอาหารที่มอบความไพรเวท ท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ สุด Cozy และโซนเคาน์เตอร์เชฟที่คุณจะได้ใกล้ชิดกับทีมพาร์ทเนอร์เชฟที่มาร่วมรังสรรค์ความอร่อย ได้ฟีลของการมาเฝ้าดูเพื่อนทำอาหารให้เรารับประทาน
และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทางร้านเลือกตั้งชื่อว่า ‘WOODs’ เพราะต้องการให้ธีมบรรยากาศร้านเป็นสีของไม้ เพื่อมู้ดโดยรวมของร้านจะได้มีทั้งความโรแมนติกนิด ๆ Cozy หน่อย ๆ พ่วงด้วยความเป็นส่วนตัว เพื่อให้พื้นที่นี้เป็น Dinning Space และ Safe Space ความรู้สึกที่อบอุ่นผ่อนคลาย สบาย ๆ และเป็นกันเอง
อีกหนึ่งเหตุผลลับของการตั้งชื่อร้าน WOODs ด้วยความที่เชฟปั้นนั้นมีความชื่นชอบนักกอล์ฟชื่อดังอย่างคุณไทเกอร์ วู้ด เป็นพิเศษ จึงเลือกนำชื่อของนักกอล์ฟคนโปรดมาใช้เป็นชื่อร้านที่อ่านออกเสียงพ้องกันว่า WOODs ไปด้วยเสียเลย !
An Unforgettable Meals
ด้านอาหาร ทางร้านมีการผสมผสานอาหารหลากหลายสัญชาติเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นวิธีการมิกซ์รสชาติใหม่ที่ได้ความอร่อยลงตัว โดยทางร้านจะเปลี่ยนเมนูใหม่ในทุก ๆ 3 เดือน แต่ในการปรับเปลี่ยนเมนูใหม่ในแต่ละครั้งจะยังคงเมนูเก่าที่เป็น Best Seller ของทางร้านเอาไว้เช่นเดิม เพิ่มเติมเมนูใหม่ให้ได้ลองสั่งมารับประทานกัน
วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่เลือกมารังสรรค์ความอร่อยจะยึดตามฤดูกาล (Seasonal) ที่มีความสดใหม่เป็นหลัก โดยมีทั้งวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศและวัตถุดิบภายในประเทศควบคู่กัน ตามคุณภาพและความเหมาะสมกับเมนูนั้น ๆ ซึ่งในปัจจุบัน เมนูจานหลักหมวด Mains ทางร้านจะเลือกใช้เป็นวัตถุดิบภายในประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Braised Short Ribs เนื้อไทยวากิวจากเขาใหญ่ที่ทางร้านติดต่อสั่งซื้อผ่าน Supplier เจ้าใหญ่ คัดสรรคุณภาพ, เนื้อเป็ดที่ส่งตรงจากเขาใหญ่อีกเช่นกัน ตามด้วยเนื้อปลาจากฝั่งทะเลอันดามัน โดยการเลือกใช้วัตถุดิบจะขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นจะมีปลาชนิดใดที่เหมาะแก่การนำมารังสรรค์เป็นเมนูที่ทางร้านคิดไว้
ด้านเครื่องดื่มที่สามารถเลือกสั่งมาดื่มระหว่างรับประทานมื้อค่ำ มีทั้งหมวด Soft Drinks, Sparkling Wine / Red Wine / White Wine (โดยเลือกสั่งได้ทั้งแบบขวดและแบบแก้ว) เรื่อยไปจนถึงชาและกาแฟที่ออเดอร์ได้ตามต้องการ
ส่วนการเสิร์ฟคอร์สอาหารของทางร้านจะมีการเรียงลำดับไว้ตามหมวดหมู่ โดยไม่ได้ฟิกซ์คอร์ส ซึ่งลูกค้าที่มาทานสามารถเลือกเองได้เลยว่าแต่ละหมวดอยากรับประทานเป็นเมนูอะไรบ้าง แบ่งออกเป็น Snacks, Starters, Mains และ Desserts ซึ่งทางร้านจะค่อย ๆ ทยอยเสิร์ฟตามลำดับในแต่ละหมวดหมู่ การมาเยือนร้าน WOODs ในครั้งนี้ ทางร้านก็ได้เริ่มต้นเสิร์ฟความอร่อยกันที่หมวด Snacks ด้วยเมนู Truffle Toast (2 ชิ้น ราคา 480 บาท) ขนมปังบริยอชที่นำไปเซียร์กับเนย วางสลับชั้นด้วยชีสมาสคาโปเน่ทรัฟเฟิลและทรัฟเฟิลสไลซ์
Tartare Toast (2 ชิ้น ราคา 480 บาท) ขนมปังบริยอชที่นำไปเซียร์กับเนย ตามมาด้วยส่วนผสมของมายองเนส เป็นเมนูทาร์ทาร์แบบคลาสสิกที่ประกอบด้วยมาสตาร์ด เปลือกเลมอน ลูกเคเปอร์ดอง และใบไทม์ ตักทานพร้อมกันได้รสชาติสดชื่น ๆ เรียกน้ำย่อยก่อนเริ่มอาหารจานหลักได้เป็นอย่างดี
Duck Croquette (320 บาท) คร็อกเกต (มันฝรั่งทอดสอดไส้เนื้อเป็ด) ที่ตัวซอสทั้งด้านบนและด้านล่างทางร้านเลือกใช้เป็นซอสปาปริก้ารมควัน (Paprika Aioli) ในส่วนของเนื้อเป็ด ทางร้านจะนำไปตุ๋นหรือผ่านกรรมวิธีกงฟีต์ แล้วนำมาผสมกับ Bechamel แป้งเบสของฝรั่งเศสที่นำไปคลุกกับเนย ซึ่งด้านในสุดของตัวสแน็คจะเป็นชีสมอสซาเรลล่า ท็อปด้วยเนื้อองุ่นที่ผ่านการนำไปดองจนได้รสเปรี้ยวอมหวานเข้มข้น ตัดความเลี่ยน เสิร์ฟทานตอนร้อน ๆ จะให้เท็กซ์เจอร์ที่นุ่มหนึบ พร้อมชีสยืด ๆ ที่ให้รสชาติที่กลมกล่อม เข้ากันกับทุกส่วนผสมแบบลงตัว
ถัดจากหมวด Snacks ทางร้านก็เสิร์ฟความอิ่มท้องต่อเนื่องด้วยหมวด Starters แนะนำให้ลองสั่ง Foie Gras and Bell Pepper (790 บาท) ฟัวกราส์นุ่มละมุนลิ้น โดยภายในจานจะประกอบด้วย แยมพริกหวาน (Bell Pepper Jam) ที่ผ่านการนำไปเคี่ยวจนได้รสชาติที่หอมหวาน, อัลมอนด์บด (Almond Puree), พริกแห้งที่นำไปคอมโพชกับบรั่นดีเลมอน และซอสคาราเมลสไตล์ฝรั่งเศส (Gastrique) แนะนำให้นำแต่ละส่วนผสมมาทานพร้อมกันจะได้รสชาติที่เข้ากันเป็นอย่างดี
หรือจะเป็น Brioche and Butter (350 บาท) ขนมปังบริยอชอบสดใหม่ที่ทางร้านทำเอง เสิร์ฟมาให้รับประทานคู่กับเนยประจำวันที่จะเปลี่ยนไปในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับครั้งนี้จะเป็นการเสิร์ฟด้วยเนย Burnt Leaf ที่ให้กลิ่นหอมไหม้และรสคล้ายถั่วคั่วแนว Earthy หน่อย ๆ ส่วนอีกหนึ่งรสชาติจะเป็นเนยมะม่วง (Mango Butter) ที่ทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบจากฟาร์มของเชฟปั้น เรียกว่าเป็นการครีเอตความอร่อยที่แปลกใหม่และได้รสชาติที่เข้ากันดีกับเนื้อสัมผัสนุ่ม ๆ ของขนมปังบริยอชโฮมเมดได้ดีทีเดียว
หากใครที่ชอบทานผัก ขอแนะนำ Baby Carrot and Blue Cheese (310 บาท) เบบี้แครอทที่นำไปเซียร์และราดด้วยน้ำผึ้งผสมพริก ตัวซอสที่ใช้ปรุงสำหรับเมนูนี้จะประกอบด้วยซอสซัลซ่าเวอร์เด้ (ซอสเขียวที่มีส่วนผสมของใบแครอท ต้นหอม และผักชี ผัดเข้ากับน้ำมันและน้ำส้มสายชู ตามสไตล์อาหารตะวันตกของชาวเม็กซิกัน) และบลูชีสที่ให้กลิ่นอ่อน ๆ พร้อมท็อปด้วยใบพาสลีย์ ได้รสชาติเปรี้ยวอมหวานที่เข้ากับรสสัมผัสของเบบี้แครอทที่หวานกรอบอย่างลงตัว
มาถึงอาหารจานหลักหรือหมวด Mains กันบ้าง ทางร้านก็มีหลากหลายเมนูเด็ดให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น Duck, Cherry and Pate (950 บาท) เมนูเป็ดดรายเอจย่างที่มีส่วนประกอบต่าง ๆ ภายในจานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไวน์แดง เครื่องเทศ การหยดเจลไวน์แดงลงไปบนจาน ผลเชอร์รีสด ฟัวกราส์หรือตับบดที่ปาดลงบนขนมปังบริยอชพร้อมด้วยซอสเชอร์รี ในส่วนของวัตถุดิบหลักจะใช้เนื้อเป็ดจากฟาร์มเขาใหญ่ ผ่านการดรายเอจประมาณ 7-10 วัน พร้อมด้วยน้ำสต๊อกเป็ดเข้มข้น ให้เนื้อสัมผัสของเป็ดที่นุ่มชุ่มฉ่ำไปด้วยซอส ผสานความอร่อยในแบบรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม
ท้าชิงความอร่อยแบบเอาใจสายเนื้อด้วยเมนู Ponzu Short Ribs (1,150 บาท) เมนูเนื้อส่วนซี่โครงที่เสิร์ฟมากับรีซอตโต้เนยที่เบสรสชาติด้วยเนยและชีสพาร์เมซาน ซึ่งส่วนเนื้อจะนำไปตุ๋นกับไวน์แดง ก่อนนำเข้าไปอบอีกครั้งเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสนุ่ม ก่อนจัดจานมากับสารพัดผักที่นำไปเผามาให้รับประทานด้วยกัน พร้อมราดด้วยซอสพอนและยูซุรสสัมผัสหอมสดชื่นที่มาช่วยตัดเลี่ยนได้ดี
ส่วนจานปลาต้องลองสั่ง Fish and Truffle (850 บาท) ปลาตาเดียวที่นำไปเซียร์และเบสรสชาติด้วยเนยคนละด้าน ในจานจะเสิร์ฟมาพร้อมกับซอส 3 ชนิด ได้แก่ ซอสไก่เข้มข้น, น้ำสต๊อกปลาเข้มข้น, ดอกกะหล่ำบด (Cauliflower Puree), ทรัฟเฟิลบด (Truffle Puree) ที่ผสมเข้ากับน้ำส้มสายชูซึ่งช่วยตัดรสเลี่ยน และเจลต้นหอม ตามด้วยเครื่องเคียงอย่างลูกชิ้นปลาโฮมเมดสไตล์ฝรั่งเศสที่นำเนื้อปลาไปปั่นกับครีม พร้อมโรยหน้าด้วยแบล็กทรัฟเฟิล เป็นการเบลนด์ส่วนผสมที่ได้รสสัมผัสหลากมิติ
หลังจากอิ่มอร่อยแบบจัดเต็มกันไปแล้ว ห้ามพลาดหมวด Desserts กับเมนูของหวานน่าลองอย่าง Chocolate, Yuzu and Coconut (420 บาท) เค้กช็อกโกแลตที่ท็อปด้วยไอศกรีมกะทิ ตามด้วยหลากหลายเครื่องเคียงให้ตักทานด้วยกัน ทั้งโกโก้นิบส์ เมล็ดโกโก้กรุบกรอบ กานาชรสยูซุ-ช็อกโกแลต ยูซุเจล และเปลือกเลมอน เป็น Combination ส่วนผสมที่แปลกใหม่ แต่ได้รสชาติที่เข้ากันดี ปิดท้ายมื้อค่ำนี้ได้อย่างสมบูรณ์
Must Read!
- ทางร้านพร้อมต้อนรับผู้มาใช้บริการแบบ Walk-in หากแต่แนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกด้านโซนนั่งที่ให้ความไพรเวทได้มากกว่า (สามารถจอดรถได้ที่ The Sky Residence Thonglor 25)








