Published on September 18, 2020

So You Thought You Knew 'Gaggan'

สำหรับสายไฟน์ไดน์นิ่งแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จัก 'Gaggan' ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาว และยังเป็นเจ้าของตำแหน่งอันดับ 1 ของ Asia's 50 Best Restaurants ถึงสี่ปีซ้อน ในช่วงปลายปี 2019 ทางร้านก็ได้สร้างความเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศปิดร้าน Gaggan ในย่านหลังสวนลง เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่กับการเปิดร้าน 'Gaggan Anand' ที่แตกต่างไปจากร้านเดิมแทน แต่ยังคงคอนเซ็ปต์ 'Progressive Indian Gastronomy' ที่มาพร้อมความตื่นเต้นเร้าใจอย่างครบถ้วน 

 

กำแพงร้านประดับด้วยงานศิลปะที่จำลองรูปหน้าของเชฟ Gaggan Anand

Book Your Perfect 'G'

ตัวร้านเป็นอาคารสไตล์โมเดิร์นขนาด 3 ชั้น ล้อมด้วยกระจกใสบานใหญ่ เปิดให้เห็นความครึกครื้นของบรรยากาศภายในร้าน พื้นที่ภายในร้านแบ่งออกเป็น 2 โซนใหญ่ คือ G-Spot โซนชั้นล่างที่รองรับได้ทั้งหมด 25 ที่นั่ง ลักษณะที่นั่งเป็นการนั่งล้อมครัวเปิด ที่สามารถชมเหล่าเชฟปรุงอาหารกันได้แบบสด ๆ ชั้นนี้ถูกตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นแต่แฝงด้วยความดิบเท่จากกำแพงสีดำและปูนเปลือย เพิ่มความสนุกด้วยไฟนีออนสีแดงที่เขียนว่า 'Be a Rebel'

ส่วนโซน Arena G บนชั้น 2 ของทางร้าน จะจัดรูปแบบที่นั่งแบบแยกโต๊ะ ที่เพิ่มความเป็นส่วนตัว ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นหรูหรา อีกทั้งยังเติมลูกเล่นด้วยโคมไฟดวงจันทร์ที่ถูกนำมาประดับตามมุมต่าง ๆ ของร้าน นอกจากนี้ ทางร้านยังมี Family Room สำหรับคนที่มากันเป็นครอบครัวอีกด้วย  

 

โซน G-Spot

 

โซน Arena G

The 18 Courses Journey

ในช่วงดินเนอร์ ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารในรูปแบบ 18 คอร์ส (ราคา 5,000++ บาท) โดย โซน G-Spot จะเปิดให้บริการเพียงรอบเดียวต่อคืนในช่วงเวลา 18.30 น. ส่วน โซน Arena G จะให้บริการทั้งหมด 3 รอบ แบ่งเป็นรอบเวลา 17.30 น., 18.30 น. และ 20.30 น. สามารถสั่ง Wine Journey (ไวน์แพริ่ง ราคา 3,000++ บาท) ทางร้านจะเสิร์ฟเนเชอรัลไวน์ที่ทางร้านนำเข้าเอง ไม่มีจำหน่ายที่อื่น หรือจะเลือกดื่ม Non-Alcoholic Pairing (แพริ่งกับเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคา 1,500++ บาท)

Embark on A Journey of Flavors

เมื่อมาถึงที่ร้าน 'Gaggan Anand' ก็เตรียมสัมผัสประสบการณ์การทานอาหารตามคอนเซ็ปต์ Progressive Indian Gastronomy กันได้เลย โดยทุกเมนูจะแฝงไปด้วยกิมมิกสุดสร้างสรรค์ที่จะสร้างความประทับใจให้คุณได้รับกลับไป

ทางร้านจะเริ่มจากการแจกกระดาษโน้ตและสติ๊กเกอร์อิโมจิที่เป็นตัวแทนของหัวใจหลักในแต่ละเมนู ซึ่งสามารถเขียนหรือแปะสติ๊กเกอร์แบบไหนก็ได้ และเมื่อจบมื้อทางร้านยังแปะสติ๊กเกอร์ตัวแทนของเชฟและพนักงานร้านต่าง ๆ ลงไปเพื่อสร้างความทรงจำให้พกกลับบ้านไปด้วย

 

บรรยากาศภายในครัวเปิด

 

Emoji Sticker และกระดาษโน้ต สำหรับให้บันทึกประสบการณ์ในการทานอาหารที่นี่

No Cutlery Required!

ก่อนจะเริ่มทานมื้อนี้ อย่าลืมเช็ดมือให้เรียบร้อย เพราะเมนูส่วนใหญ่จะเน้นใช้มือเปล่าตามสไตล์การทานอาหารอินเดีย เริ่มจากเมนูเรียกน้ำย่อยจานแรก Explosion เจลโยเกิร์ตเนื้อใสเด้ง สอดไส้ด้วยน้ำซุปรสเผ็ดร้อนจากสมุนไพรอินเดีย ทานคู่กับแผ่นที่ทำจาก Green Chutney หรือนำ้จิ้มสไตล์อินเดียอบกรอบ ท็อปด้วยน้ำตาลกรอบ สร้างรสชาติสุดเซอร์ไพรส์คล้ายกับการจุดระเบิดในปาก เป็นการเริ่มต้นมื้อนี้อย่างเป็นทางการ

ต่อด้วยเมนูที่สร้างความสนุกสนาน เพราะห้ามใช้มือทานแต่ต้องใช้ลิ้นเลียจานแทนกับ World Map จานนี้เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากเชื้อชาติพนักงานของทางร้านที่มีมากถึง 18 ประเทศด้วยกัน และผสมผสานกับสีสันจากเทศกาลสาดสี Holi Festival ของอินเดีย สำหรับตัวแผนที่ทำจากดอกกะหล่ำบดและมะพร้าว โรยหน้าด้วยสีสันสดใสจากผักและผลไม้อย่างข้าวโพด แครอท บีทรูท และดอกอัญชัน เป็นต้น

 

Explosion

 

World Map

จานที่สาม Suckling Pig Vindaloo ที่ทางเชฟเลือกใช้ Suckling Pig จากสเปน ท็อปด้วยสับปะรดย่าง คลุกเคล้ากับซอส Vindaloo (แกงอินเดียที่ได้ต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดยใช้น้ำส้มวีนีการ์แทนไวน์แดงตามสูตรดั้งเดิมของโปรตุเกส) เสิร์ฟมาบนใบ Kale (คะน้าฝรั่ง) ทอดกรอบ และท็อปด้วย Pickled Onion (หัวหอมดอง) แนะนำให้ทานพร้อมกันทั้งหมด จะได้รสชาติเปรี้ยวหวานกลมกล่อมจากเนื้อหมูและรสสัมผัสกรุบกรอบจากใบคะน้าฝรั่ง

ต่อด้วย Mushroom จานนี้ทางร้านเสิร์ฟมาในรูปทรงเห็ดสีทอง เน้นที่ Poori ขนมปังทอดสไตล์อินเดียสอดไส้ด้วยมูสเนื้อเนียนที่ผสมน้ำพริกสไตล์อินเดีย และ Caramelized Onion (หัวหอมที่เคี่ยวจนเป็นคาราเมล) เสิร์ฟมาบนงาดำคั่ว

 

Suckling Pig

 

Mushroom

มาถึงจานที่มีพรีเซนเทชันแปลกใหม่อย่าง Monkey's Brain ที่มีส่วนผสมหลักเป็นแกงกล้วยสไตล์อินเดียที่ผสมกับต้นหอมและน้ำพริกกล้วย ส่วนตรงพื้นหญ้านั้นทำจากบีทรูท

จานถัดมา Charcoal ที่ใช้วัตถุดิบอย่างถ่านชาร์โคลเป็นหลัก โดยเชฟ Gaggan ได้นำถ่านมาผสมผสานในการทำอาหารตั้งแต่ปี 2012 นับได้ว่าเป็นความแปลกใหม่ที่ทางเชฟเลือกนำเสนอในวงการอาหารอินเดีย เพราะชาวอินเดียไม่ค่อยนิยมทานอาหารสีดำเท่าไหร่นัก ภายในเปลือกถ่านสอดไส้ด้วยกุ้งเนื้อแน่น, พริกเขียว และใบมินต์เวียดนาม เคลือบด้วยผงจากการเผาผักที่เหลือใช้ เสิร์ฟมาบน Green Chutney ที่ทำจากใบมัสตาร์ด งาขาว และมะนาว

 

Monkey's Brain

 

Charcoal

สำหรับ Fish จานนี้ทางเชฟได้แรงบันดาลใจมาจากซูชิ โดยเลือกใช้เนื้อปลาฮามาจิห่อด้วยสาหร่าย Kombu-jime (หนึ่งในวิธีถนอมเนื้อปลาของชาวญี่ปุ่น) ก่อนที่จะแบ่งชิ้นและห่อด้วยสาหร่ายโนริ ท็อปด้วยเกลือสาหร่ายคอมบุ เสิร์ฟมาบนขิงทอด ขิงดอง และ Tokyo Turnip (หัวผักกาดเทอร์นิพพันธุ์โตเกียว) ส่วนทารต์กรอบด้านล่างนั้นทำจากข้าวสาเก

ก่อนจะทานจานถัดมาที่ชื่อว่า Ring โดยพนักงานของทางร้านจะขอให้คุณชูนิ้ว เพื่อใส่แหวนที่ทำจากไวท์ช็อกโกแลตสอดไส้ซอสที่มีส่วนผสมของผักชี พริก ใบมินต์ ถือเป็นจานที่แฝงอารมณ์ขันของเชฟไว้อย่างเต็มเปี่ยม

 

Fish

 

Ring

มาถึงครึ่งทางกับจานที่เก้า Soup ภายในชามจะประกอบไปด้วย ไข่ออนเซ็น กระเทียมฝานกรอบ ใบทาร์รากอนทอด ไข่ปลาคาเวียร์ ก่อนจะเทซุปข้นไก่ ทางร้านแนะนำให้คนทุกอย่างให้เข้ากันก่อนทาน เป็นจานที่ให้รสนุ่มละมุน น่าจะถูกใจใครหลายคน

ต่อมาเป็นเมนู Langoustine (กุ้งชนิดหนึ่งจากฝรั่งเศส มีลักษณะคล้ายกับล็อบสเตอร์) ที่ทางเชฟนำมาย่างกับเนย ทานคู่กับซอสต้มยำและซอสจากมะเขือม่วง เนื้อกุ้งนุ่มเด้งมีรสหวาน เข้ากับรสชาติเผ็ดนิด ๆ ของซอสต้มยำได้เป็นอย่างดี

 

Soup

 

Langustine

ถัดมากับเมนู Tomato ที่ทางเชฟนำวัตถุดิบอย่างมะเขือเทศมาทำในหลายรูปแบบ เสิร์ฟมาแบบเย็น ๆ ทานแล้วสดชื่น

สำหรับจานที่ 12 Tart ทางเชฟได้นำหนึ่งในขนมหวานสตรีทฟู้ดยอดนิยมของอินเดียที่เป็นบิสกิตสอดไส้นมข้นหวาน มาปรับให้กลายเป็นอาหารคาวที่ทานได้ง่ายเหมาะกับอากาศร้อน ๆ ด้วยการเพิ่ม Sauteed Green Peas (ถั่วลันเตาผัด), ใบโหระพาอิตาเลียน และมูสถั่วลันเตาลงไปในแป้งทาร์ตกรุบกรอบ ก่อนจะท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอนสีส้มสวยที่นำไปรมควันด้วยไม้ซีดาร์

ต่อด้วยเมนู Duck ทางร้านใช้เนื้อเป็ดจากฟาร์มในเขาใหญ่ และนำมาดรายเอจเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทำให้ได้เนื้อเป็ดที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มและได้รสชาติเข้มข้นมากขึ้น ปรุงกับซอสที่มีส่วนผสมของมะขาม พร้อมเพิ่มรสชาติแบบอินเดียด้วย Brazilian Pepper (มะตูมแขก) และ Dried Curry Leaves (ใบกะหรี่แห้ง) ทานคู่กับหัวหอมย่าง

 

Tomato

 

Tart

 

Duck

มาถึงเมนู Dosa แพนเค้กสไตล์อินเดียตอนใต้ ทำจากข้าวหมัก (Fermented Rice) ตัวแป้งบางกรอบห่อไส้ที่มีส่วนผสมของมะพร้าวอ่อน ท็อปด้วยผง Gunpowder หรือผงโรยอาหารของอินเดียที่มีส่วนผสมของพริกแห้ง ทานคู่กับซอสที่ทำจากมะม่วงและขิง 

ก่อนจะเริ่มต้นทานเมนูขนมหวาน มาปิดท้ายเมนูของคาวกันด้วย Rice ที่ทางเชฟนำเสนอข้าวบัสมาติก (Basmatic Rice) หุงสุกกับน้ำสต็อกไก่ เสิร์ฟมาในถ้วยสำหรับแต่ละคน ท็อปด้วยเมล็ดข้าวโพดหลากสีเพื่อเพิ่มรสชาติ ทานคู่กับแกงเนื้อปูสไตล์อินเดีย

 

Dosa

 

Rice

Seasonal Dessert Menus

ทางเชฟเลือกใช้วัตถุดิบจำพวกผลไม้ตามฤดูกาลสำหรับการทำเมนูขนมหวาน เพื่อให้ได้วัตถุดิบคุณภาพดีและไม่มีสารเคมี

สำหรับเมนูขนมจานแรกได้แรงบันดาลใจจากเมนู Mango Lassi เครื่องดื่มชนิดหนึ่งของอินเดียให้รสหวานสดชื่น เสิร์ฟมาในลักษณะของแซนด์วิช โดยมีแผ่นมะม่วงรสหวานอมเปรี้ยวซ้อนกับไส้โยเกิร์ต แนะนำให้ทานพร้อมกันทั้งหมดในคำเดียว เพราะจะได้รสเปรี้ยวอมหวานจากทั้งมะม่วงและโยเกิร์ต ที่ช่วยปรับรสชาติในปากได้เป็นอย่างดี

ต่อด้วยเมนูขนมหวานหน้าตาสวยงามอย่าง Gold Rose ฐานทาร์ตเป็นคุกกี้พิสตาชิโอ ที่ท็อปด้านบนด้วยมูสมาร์ชเมลโลว์และไอศกรีมพิสตาชิโอจากอิหร่าน ก่อนจะประดับด้วยดอกกุหลาบสีทองอร่ามที่ทำจากมันแกว

แล้วปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Custard Apple เมนูขนมหวานที่ทำจากเนื้อน้อยหน่าตามฤดูกาล ทานคู่กับไอศกรีมข้าวเหนียวมูนกับไอศกรีมกะทิ ก่อนจะท็อปด้วยเกล็ดมะพร้าวเผาและน้ำตาลทรายแดง 

 

Mango Lassi

 

Gold Rose

 

Custard Apple

Must Read!
  • ต้องจองล่วงหน้าผ่าน https://gaggananand.com/request-a-table/
  • ทางร้านไม่มีรายละเอียดเมนูหรือชื่อเมนูมาให้ ทางพนักงานจะเป็นผู้อธิบายแต่ละเมนูเมื่อนำมาเสิร์ฟ
Info
Hours
Open : 5:30PM - 12AM
Thu : 5:30PM - 12AM
Fri : 5:30PM - 12AM
Sat : 11:30AM - 2:30PM
5:30PM - 12AM
Sun : 11:30AM - 2:30PM
5:30PM - 12AM
Mon : 5:30PM - 12AM
Tue : 5:30PM - 12AM
Wed : 5:30PM - 12AM
Price

฿฿฿฿฿฿ มากกว่า 2,000 บาทต่อคน

Address
68 ซอยสุขุมวิท 31 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร
Map
Getting There

จอดรถที่อาคาร ALIST

Facilities
Suggest an Edit