A New Modern Dining Experience in Bangkok’s Old Town
ชวนสัมผัสประสบการณ์ดินเนอร์สุดพิเศษที่ ‘Liana’ ร้านไฟน์ไดน์นิ่งร่วมสมัย ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของ The Corner House ในย่านเจริญกรุง พร้อมเสิร์ฟความอร่อยสไตล์ Contemporary French รังสรรค์โดยสองเชฟคู่รักชาวไทยและเกาหลีมากฝีมือ ให้เหล่านักชิมชาวไทยได้เปิดประสบการณ์ทานอาหารครั้งใหม่ที่เต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ ณ ใจกลางเมืองเก่าของกรุงเทพฯ
Liana เป็นร้านอาหารที่มอบความไพรเวทด้วยจำนวน 32 ที่นั่ง นำทีมรังสรรค์ความอร่อยโดย ‘เชฟบิ๊ก-วรัชญ์ อารีรมย์’ และ ‘เชฟ Soohyun Lee’ สองสามี-ภรรยา ผู้มากด้วยประสบการณ์ทำอาหารจากการฝึกงานและทำงานร่วมกันในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยทั้งคู่ได้เลือกใช้เทคนิคการทำอาหารแบบฝรั่งเศสเป็นพื้นฐาน บวกกับการปรุงอาหารที่ให้ความเบา สดชื่น และมีชีวิตชีวาด้วยรสชาติหลากหลายมิติ ผ่านแรงบันดาลใจจากวัตถุดิบท้องถิ่นและประสบการณ์การทำอาหารร่วมกัน
สำหรับชื่อร้าน ‘Liana (อ่านว่า ลีอาน่า)’ มาจากคำในภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายถึง ‘เถาวัลย์’ ที่เติบโตในธรรมชาติ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม และเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ดี การนำคำนี้มาใช้ตั้งชื่อร้านจึงสะท้อนถึงแนวคิดของร้าน ทั้งในด้านอาหาร การออกแบบพื้นที่ และการบริการที่เชื่อมโยงกันในแง่ของการเติบโตและปรับตัว โดยสอดแทรกอยู่ในทุกรายละเอียดที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ ตั้งแต่ลำดับคอร์สอาหารไปจนถึงการให้บริการ สร้างปฏิสัมพันธ์ที่อบอุ่นและเป็นกันเองกับผู้มาเยือนเสมอ
Dining inside a Century-Old House
Liana ออกแบบและตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศบ้านสุดคลาสสิก มู้ดอบอุ่นและเป็นกันเอง ภายในอาคารชัยพัฒนสินที่มีอายุกว่าร้อยปี (ก่อนจะรีโนเวทมาเป็น The Corner House) เพื่อกลมกลืนไปกับโลเคชันใจกลางย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ โดยภายในร้านมีหลากหลายมุมนั่งให้เลือกสรร สอดแทรกดีเทลเล็ก ๆ น้อยที่บ่งบอกลายเส้น สื่อถึงความโค้งมนของเถาวัลย์บริเวณผนังร้าน ผสมผสานเข้ากับมู้ดอบอุ่นของโทนแสงไฟและเฟอร์นิเจอร์สุดคราฟต์อย่างลงตัว พร้อมกับโซนครัวเปิดที่เผยให้เห็นเบื้องหลังการครีเอตสารพัดเมนูอาหารของเหล่าเชฟแบบครบทีม
มุมไฮไลท์อย่างโซนครัวเปิดนั้นถูกดีไซน์ให้เชื่อมโยงกับห้องอาหารอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ทีมเชฟสามารถจัดจานและเสิร์ฟอาหาร พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวเบื้องหลังของอาหารจานนั้น ๆ เพื่อสร้างความประทับใจและทำให้ผู้มารับประทานอาหารรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ Fine Dining อย่างแท้จริง
A French Contemporary Tasting Journey, Inspired by the Season’s Peak Ingredients
ในการสร้างสรรค์คอร์สอาหาร ทางร้านได้คัดสรรและเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล แต่ละเมนูจึงปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาลเช่นกัน ผ่านแรงบันดาลใจจากสีสัน อารมณ์ และวัตถุดิบสดใหม่จากเกษตรกรท้องถิ่นที่ส่งตรงถึงร้านในทุกสัปดาห์ ตามความตั้งใจอันดีของเชฟบิ๊กและเชฟ Soohyun ที่กล่าวไว้ว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้แขกรู้สึกผ่อนคลาย ปล่อยวางจากความวุ่นวาย และได้รับการดูแลอย่างแท้จริง”
“เราอยากให้ทุกคนกลับออกไปด้วยความรู้สึกเบาสบาย สดชื่น ราวกับได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกใบเล็กที่อบอุ่นและคาดไม่ถึง”
Liana Experience Course
มื้อดินเนอร์ในครั้งนี้ทางร้านเลือกเสิร์ฟความอร่อยด้วยคอร์ส Liana Experience (5,250 บาท / คน) ซิกเนเจอร์คอร์สที่จัดเรียงตามลำดับ รวมทั้งหมด 8 เมนูด้วยกัน
ระหว่างการดินเนอร์ สามารถแพริ่งความอร่อยควบคู่กับการเสิร์ฟคอร์สอาหารด้วยเครื่องดื่มค็อกเทล ม็อกเทลสุดครีเอต และไวน์คุณภาพ พร้อมมอบความเซอร์ไพรส์ด้วยเมนูคานาเป้มากมายให้ได้ลิ้มลอง
เริ่มต้นคอร์สกันที่ Amuse-bouche เซ็ตของว่างขนาดพอดีคำ สำหรับเรียกน้ำย่อยมื้อนี้ ประกอบด้วย Squid Tartelette ทาร์ตปลาหมึกที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสาหร่าย และเสริมความหวานด้วยซอสวานิลลา เพื่อดึงความหวานธรรมชาติของปลาหมึกให้ได้รสกลมกล่อม, Kampachi-Samphire Croustade ปลาคันจิที่เสิร์ฟคู่กับ Finger Lime ซึ่งเป็นผลไม้ตระกูลซีตรัส ให้รสชาติเปรี้ยวและกลิ่นหอมสดชื่น, Uni Gougère อูนิหรือไข่หอยเม่นที่อินฟิวส์ด้วยน้ำมันผัก โดยทางร้านมีเทคนิคการสกัดน้ำมันจากผัก ผลไม้ และดอกไม้ เพื่อนำมาเติมกลิ่นและรสชาติให้กับอาหาร ท็อปลงบนขนมปังแป้งนุ่มสไตล์ฝรั่งเศส สำหรับคำนี้ให้รสครีมมี่เข้มข้น ได้ทั้งความสดชื่นของน้ำมันผักและกลิ่นอายจากท้องทะเลของอูนิไปพร้อม ๆ กัน และ Pear-Tarragon Tuile คุกกี้สไตล์ฝรั่งเศสที่ให้รสเข้มข้นและความสดชื่นของลูกแพร์ดองแบบเต็มคำ
หลังจากเปิดต่อมรับรสด้วยเซ็ต Amuse-bouche เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาประเดิมความอร่อยด้วยคอร์สแรกกับเมนู Oyster หอยนางรมที่ส่งตรงความสดหวานจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเชฟได้นำจานนี้มาสาธิตวิธีทำถึงที่โต๊ะอาหาร ทุกขั้นตอนมีความพิถีพิถัน ด้วยหลายวัตถุดิบและส่วนผสมที่ซับซ้อนแต่ลงตัว ประกอบด้วย ‘เวย์เจล’ ที่ได้จากการแขวนโยเกิร์ตหรือมิลค์ครีมผ่านผ้ากรอง จากนั้นนำไปแช่แข็งจนกลายเป็นเจลที่ให้รสสัมผัสที่นุ่มเบา เย็นสดชื่น, บัตเตอร์มิลค์ที่ทำออกมาในรูปแบบของโฟมเนื้อเนียนละเอียด และท็อปด้วยคาเวียร์ฝรั่งเศส จานนี้รสชาติที่ได้จะมีความนุ่มนวลและเย็นสดชื่น เข้ากับความสดหวานของหอยนางรมที่ผสมผสานความอร่อยเข้ากันได้เป็นอย่างดี
คอร์สถัดมาคือเมนู Crab หรือสลัดปู อีกหนึ่งจาน Starter ที่พรีเซนต์ความสดใหม่และความประณีตในแบบฉบับ Contemporary French สำหรับจานนี้เชฟได้เลือกใช้วัตถุดิบเป็น Brown Crab จากฝรั่งเศส ก่อนจะนำมาปรุงรสและนำเสนอผ่านรูปแบบโฟมกุหลาบที่ให้ทั้งกลิ่นหอมและเนื้อสัมผัสที่ละมุน พร้อมเสิร์ฟมากับ Crab Consommé ซุปใสที่ได้จากการนำเนื้อปูไปเคี่ยวจนได้น้ำสต็อก เติมความพิเศษด้วยการอินฟิวส์เข้ากับกลิ่นของดอกกะหล่ำ ตามด้วยการหยด Lemon Oil ลงไป เพื่อเพิ่มมิติของรสชาติที่แตกต่างและสดชื่นยิ่งขึ้น ก่อนจะประดับตกแต่งหน้าตาอาหารด้วยดอกไม้รับประทานได้อย่าง Nasturtium และ French Marigold ซึ่งเป็นการเพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับจานอาหารได้อย่างสมบูรณ์
คอร์สเมนูนี้ สามารถแพริ่งความอร่อยกับดริงก์ Clover Club ค็อกเทลที่มีส่วนผสมของ Raspberry Gin ผสมผสานกับ Plum Syrup ที่เป็นสูตรเฉพาะของ Liana พร้อมประดับด้วยกุหลาบ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมละมุน เสริมรสชาติได้เข้ากันดีกับสลัดปู
ระหว่างคอร์สทางร้านจะพ่วงความเซอร์ไพรส์ด้วยการเสิร์ฟเมนูคานาเป้ควบคู่ไปด้วย ภายใต้แนวคิดของ Zero Waste ที่นำวัตถุดิบมาใช้ทุกส่วนอย่างคุ้มค่า เช่นเดียวกับการครีเอตเมนูทาร์ต หรือเลือกใช้ส่วนของก้ามปูและเปลือกปูที่หลายคนอาจมองข้าม ผ่านกระบวนการปรุงอย่างพิถีพิถันเพื่อทำเป็นสต็อกเข้มข้นให้กับเมนูอื่น ๆ นอกจากนี้คอร์สเมนูประจำฤดูกาลอย่างช่วงซัมเมอร์ ทางร้านยังให้ความสำคัญกับการใช้ ‘ผลไม้’ เป็นส่วนประกอบ เพื่อเติมเต็มความสดชื่น รสสัมผัสที่เย็นสดชื่นให้กับทุกจานอีกด้วย
ต่อเนื่องความอร่อยกันด้วยคอร์สเมนู Prawn กุ้งกุลาดำย่างเตาถ่านที่ทางร้านตั้งใจรังสรรค์เมนูนี้อย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน เริ่มจากการนำกุ้งกุลาดำสดใหม่มาย่างบนเตาถ่านเพื่อดึงเอาความหอมและรสชาติของกุ้งออกมาอย่างเต็มที่ เสิร์ฟคู่ความอร่อยมากับมะเขือเทศหมักที่ให้ทั้งความสดชื่นและรสสัมผัสที่ซับซ้อน, แรดิชดองสไลด์ที่ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ความกรอบ ความสดชื่น และรสชาติที่เข้มข้น แล้วราดด้วยซอสที่ทำจากหัวกุ้ง ผ่านการอินฟิวส์ด้วยกลิ่นหอมจากดอกดาวเรืองฝรั่งเศสที่ช่วยเสริมความหอมและรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น พร้อมโรยปิดท้ายด้วยผงต้มยำเล็กน้อย เพื่อเป็นการประดับจานและเพิ่มความแปลกใหม่
นอกจากจานหลักแล้ว ทางร้านยังเสิร์ฟคั่นด้วยเมนูคานาเป้อีกเช่นเคย ครั้งนี้ทางร้านเลือกเสิร์ฟเป็น Prawn Bite ทาร์ตที่มีส่วนผสมของเนื้อกุ้ง รสชาติมีความบาลานซ์ ไม่หนักเกินไป และใช้กรรมวิธีปรุงที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่มากับ Nakin’s Cocktail ดริงก์แก้วพิเศษ โดยเป็นค็อกเทลที่มีส่วนผสมของ Nakin Gin และ โซดา ที่ช่วยเติมความสดชื่นให้กับมื้ออาหารได้ดี
ก่อนจะเสิร์ฟคอร์สถัดไป ทางร้านก็มี Complimentary เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ได้เอ็นจอยความอร่อยระหว่างคอร์สกับขนมปังซาวร์โดว์โฮมเมดที่ทางร้านอบแบบสดใหม่ทุกวัน ควบคู่มากับเนยและน้ำมันมะกอกคุณภาพดี โดยขนมปังซาวร์โดว์ที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟนั้น ถือว่าเป็น Palate Cleanser สุดพิเศษให้ได้ล้างปากหลังรับประทานจานซีฟู้ด เพื่อเตรียมพร้อมลิ้มรสชาติจานต่อไปได้อย่างเต็มที่
มาถึงคอร์สที่ 4 กับ Quail เมนูนกกระทาย่างเตาถ่าน โดยเชฟจะนำเนื้อนกกระทาไปดรายเอจก่อน เพื่อให้ได้รสที่เข้มข้น จากนั้นนำไปย่างเตาถ่านให้สุกหอมกำลังดี ตอนเสิร์ฟจะรมควันด้วย Apple Wood Chips เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บริเวณส่วนขาของนกกระทา จะมีเจลหัวบุกอยู่ด้านล่างที่ช่วยเพิ่มความหวาน และท็อปด้วยบุกพูเร เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงด้วยเห็ด 3 รูปแบบ อีกทั้งยังมี Mushroom Consommé ซุปเห็ดใสที่หยดน้ำมันขิงลงไปโดยรอบเพื่อเพิ่มความหอม และปีกนก (จำลอง) ที่ทำจากแป้งซาวร์โดว์ในรูปแบบของ Twill (ทวิลล์) หรือขนมปังแบนบาง ซึ่งด้านสอดไส้ด้วย Apple Gel ที่ให้ทั้งความหวานหอมและรสสัมผัสที่ซับซ้อน แนะนำให้รับประทานจากส่วนขาของนกก่อน ตามด้วยซุป และปีกนก (จำลอง) เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารคอร์สนี้อย่างสมบูรณ์
คอร์สเมนูนี้ สามารถแพริ่งความอร่อยกับดริงก์ Nakin’s Cocktail ค็อกเทลเวอร์ชันพิเศษของ Bloody Shiraz Gin ที่เติมโซดาและเพิ่มสมุนไพรบางชนิด เพื่อเสริมกลิ่นหอม ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบเรียบง่ายแต่ลงตัว
จากนั้นมาต่อกันที่คอร์สจานปลากับเมนู Grouper ปลาเก๋าเพลิง (สายพันธุ์ Tomato Rock Grouper) ที่ทางร้านคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ได้ความกรอบของส่วนหนังและส่วนเนื้อที่ให้รสหวาน สัมผัสนุ่มเด้งในทุก ๆ คำ เสิร์ฟพร้อมซอสและส่วนประกอบที่ลงตัวถึง 3 รูปแบบ โดยมี Beurre Blanc Sauce เป็นซอสหลักของจานที่ทำให้เมนูนี้มีความอร่อยลงตัว
สำหรับคอร์สนี้ เสิร์ฟมาพร้อมจานเคียงหรือคานาเป้ที่ทำจากแป้งขนมปังฝรั่งเศสมีลักษณะคล้ายแพนเค้ก แต่โดดเด่นด้วยผิวสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน ควบคู่กับดริงก์แก้วพิเศษอย่าง Rose Black Tea Kombucha ม็อกเทลคอมบูฉะสดชื่น ๆ หอมกลิ่นกุหลาบที่เหมาะแพริ่งความอร่อยกับจานปลา เติมความเฟรชระหว่างมื้ออาหารได้ดี
จัดเต็มความอร่อยด้วย Main Course (ที่สามารถเลือกได้ว่าจะรับประทานเมนู Lamb หรือ Wagyu ตามความชอบ) สำหรับใครที่เลือกสั่ง Lamb เมนูแกะกงฟีต์ที่ผ่านการหมักและปรุงอย่างพิถีพิถันด้วยสมุนไพร เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น เสิร์ฟมาพร้อมกับ Garlic Yogurt ที่ให้รสเค็มนิด ๆ เปรี้ยวหน่อย ๆ ช่วยตัดรสชาติเนื้อแกะได้ดี, สลัดผักรวม และ Lamb Jus ซอสเข้มข้นที่ผ่านการ Reduction จากเนื้อแกะ พร้อมตกแต่งจานด้วยซุกินีย่าง แครอท และพาร์สนิป
หากใครที่เป็นสายเนื้อให้เลือกสั่ง Wagyu เมนูวากิวดรายเอจที่พรีเซนต์รสชาติและเนื้อสัมผัสนุ่มของเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเสิร์ฟมาพร้อมกับ Beef Jus ซอสสีแดงเข้มข้นที่ผ่านการ Reduction จากเนื้อวากิว, คะน้าฮ่องกง, ทรัฟเฟิลสไลด์, กราแตงมันฝรั่ง และวอเตอร์เครสพูเร
ในส่วนของจานเคียงพิเศษที่ช่วยเติมเต็มรสชาติให้กับเมนูจานหลัก ไม่ว่าจะเลือกเมนู Lamb หรือ Wagyu ก็จะได้ลิ้มลอง Potato Foam ซิกเนเจอร์ความอร่อยของทางร้านที่มีลักษณะคล้ายมันบด ฉีดด้วยไซฟอนให้ได้เนื้อสัมผัสที่ละเอียด บางเบา และกลมกล่อมเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมี Beignet ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจานเคียงที่ด้านในสอดไส้ด้วย Fennel Puree และท็อปด้วยไข่แดงทรัฟเฟิล ผสมผสานรสชาติออกมาได้หลากหลายมิติ ตามความตั้งใจในทุกจาน
หลังจากอิ่มอร่อยกับสารพัดเมนูอาหารคาวกันไปแล้ว ทางร้านก็พร้อมเสิร์ฟ Pre-Dessert สุดพิเศษ ตามฤดูกาลให้ได้ล้างปากกันด้วยเมนู Peach โยเกิร์ตพานาคอตต้ากับพีช ผลไม้ประจำฤดูกาลที่ทางร้านเลือกพรีเซนต์ความสดชื่นหอมหวานของพีชเป็นพิเศษ ด้านล่างสุดของตัวขนมจะเป็น Fennel Crumble ที่ให้สัมผัสกรุบกรอบ ส่วนด้านบนท็อปด้วยพีชสดสไลด์ที่ให้ความหอมหวานอมเปรี้ยวอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนราดตามด้วยซอสพีชเข้มข้น พร้อมตกแต่งด้วย Gin Zest เจลใส ๆ ที่มีส่วนผสมของจินเล็กน้อย และ Tuile บางกรอบ รวมเป็นการผสมผสานทางรสชาติที่แปลกใหม่และลงตัว
เมื่อถึงคิวคอร์ส Dessert ทางร้านได้เลือกเสิร์ฟเมนู Chocolate ช็อกโกแลตเค้กถั่วตองก้าที่รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟ Soohyun Lee เชฟชาวเกาหลีผู้เชี่ยวชาญด้านขนมหวานที่โด่งดังในอินสตราแกรมและมีผู้ติดตามกว่า 1 แสนคน เพราะฉะนั้นรับประกันได้เลยว่าเมนูช็อกโกแลตของเธอในครั้งนี้มีความเข้มข้น หอมละมุนแน่นอน ก่อนจะเสริมทัพความอร่อยด้วยไอศกรีมถั่วตองก้า ไฮไลท์ของเมนูนี้ที่ให้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และรสชาติที่นุ่มนวล, ช็อกโกแลตครัมเบิล ที่เพิ่มเนื้อสัมผัสกรุบกรอบของช็อกโกแลต, ช็อกโกแลตเอสพูม่าครีม ครีมช็อกโกแลตเนื้อนุ่มเบา ละลายในปาก, อัลมอนด์พราลีน เติมเต็มรสชาติให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น พร้อมประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเกล็ดทองคำและผงช็อกโกแลต ซึ่งทำให้คอร์ส Dessert ของที่นี่ ทั้งอร่อยและดูพรีเมียมในคราวเดียวกัน
ปิดท้ายมื้ออาหารตามธรรมเนียม Fine Dining กันด้วย Petit Three ซึ่งโดยปกติแล้วจะนิยมเรียกว่า Petit Four หรือขนมชิ้นเล็ก 4 อย่าง ที่เป็นการรวมความหลากหลายของรสชาติและเนื้อสัมผัสขนมหวานไว้ในหนึ่งเดียว สำหรับที่ร้าน Liana เลือกเสิร์ฟเป็นขนมหวาน 3 อย่าง ประกอบด้วย บลูเบอร์รีชีสเค้กที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน โดยมีลูกพลัมที่เสิร์ฟคู่มากับชีสเค้ก เพื่อเพิ่มมิติความหวานอมเปรี้ยวและความสดชื่น, Financier ขนมอบเนื้อนุ่มเบาสไตล์ฝรั่งเศส สอดไส้ครีมเสาวรส เปรี้ยวอมหวาน หอมสดชื่น ท็อปด้วย Salted Cream เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของรสชาติ และ Nougat แสนอร่อย เพิ่มความหนึบหนับและกลิ่นหอมเต็มคำ รวมเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร สร้างความประทับใจได้แบบไม่รู้ลืม !
สำหรับใครที่อยากติดตามเรื่องราวการทำขนมและความเชี่ยวชาญด้านขนมของเชฟ Soohyun Lee สามารถติดตามได้ทาง Instagram (@soohyunlees) และหากต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่ Liana ด้วยตัวเอง สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ทาง SevenRooms : www.sevenrooms.com/reservations/lianabangkokMust Read!
- สามารถจอดรถได้ที่ Talad Noi Car Park หรือ River City
- แนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้า เพื่อจะได้โซนนั่งที่ตอบโจทย์การมาดินเนอร์แต่ละครั้งมากที่สุด







