Published on July 09, 2025

A New Modern Dining Experience in Bangkok’s Old Town

ชวนสัมผัสประสบการณ์ดินเนอร์สุดพิเศษที่Lianaร้านไฟน์ไดน์นิ่งร่วมสมัย ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของ The Corner House ในย่านเจริญกรุง พร้อมเสิร์ฟความอร่อยสไตล์ Contemporary French รังสรรค์โดยสองเชฟคู่รักชาวไทยและเกาหลีมากฝีมือ ให้เหล่านักชิมชาวไทยได้เปิดประสบการณ์ทานอาหารครั้งใหม่ที่เต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ ใจกลางเมืองเก่าของกรุงเทพฯ 

 

ยินดีต้อนรับสู่ร้าน Liana

Liana เป็นร้านอาหารที่มอบความไพรเวทด้วยจำนวน 32 ที่นั่ง นำทีมรังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟบิ๊ก-วรัชญ์ อารีรมย์และเชฟ Soohyun Leeสองสามี-ภรรยา ผู้มากด้วยประสบการณ์ทำอาหารจากการฝึกงานและทำงานร่วมกันในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยทั้งคู่ได้เลือกใช้เทคนิคการทำอาหารแบบฝรั่งเศสเป็นพื้นฐาน  บวกกับการปรุงอาหารที่ให้ความเบา สดชื่น และมีชีวิตชีวาด้วยรสชาติหลากหลายมิติ ผ่านแรงบันดาลใจจากวัตถุดิบท้องถิ่นและประสบการณ์การทำอาหารร่วมกัน

 

เชฟบิ๊ก-วรัชญ์ อารีรมย์

 

เบื้องหลังการรังสรรค์ความอร่อยของเชฟบิ๊ก (คนกลาง) และเชฟ Soohyun Lee (คนขวามือ)

สำหรับชื่อร้าน ‘Liana (อ่านว่า ลีอาน่า)’ มาจากคำในภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายถึงเถาวัลย์ที่เติบโตในธรรมชาติ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม และเชื่อมโยงสิ่งต่าง รอบตัวได้ดี การนำคำนี้มาใช้ตั้งชื่อร้านจึงสะท้อนถึงแนวคิดของร้าน ทั้งในด้านอาหาร การออกแบบพื้นที่ และการบริการที่เชื่อมโยงกันในแง่ของการเติบโตและปรับตัว โดยสอดแทรกอยู่ในทุกรายละเอียดที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ ตั้งแต่ลำดับคอร์สอาหารไปจนถึงการให้บริการ สร้างปฏิสัมพันธ์ที่อบอุ่นและเป็นกันเองกับผู้มาเยือนเสมอ

 

บรรยากาศภายในร้าน

Dining inside a Century-Old House

Liana ออกแบบและตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศบ้านสุดคลาสสิก มู้ดอบอุ่นและเป็นกันเอง ภายในอาคารชัยพัฒนสินที่มีอายุกว่าร้อยปี (ก่อนจะรีโนเวทมาเป็น The Corner House) เพื่อกลมกลืนไปกับโลเคชันใจกลางย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ โดยภายในร้านมีหลากหลายมุมนั่งให้เลือกสรร สอดแทรกดีเทลเล็ก น้อยที่บ่งบอกลายเส้น สื่อถึงความโค้งมนของเถาวัลย์บริเวณผนังร้าน ผสมผสานเข้ากับมู้ดอบอุ่นของโทนแสงไฟและเฟอร์นิเจอร์สุดคราฟต์อย่างลงตัว พร้อมกับโซนครัวเปิดที่เผยให้เห็นเบื้องหลังการครีเอตสารพัดเมนูอาหารของเหล่าเชฟแบบครบทีม

 

เหล่าทีมเชฟกำลังจัดเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ สำหรับการเสิร์ฟคอร์สความอร่อยมื้อดินเนอร์

 

หนึ่งในมุมนั่งรับประทานอาหารที่มอบความเป็นส่วนตัว

มุมไฮไลท์อย่างโซนครัวเปิดนั้นถูกดีไซน์ให้เชื่อมโยงกับห้องอาหารอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ทีมเชฟสามารถจัดจานและเสิร์ฟอาหาร พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวเบื้องหลังของอาหารจานนั้น เพื่อสร้างความประทับใจและทำให้ผู้มารับประทานอาหารรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ Fine Dining อย่างแท้จริง

 

หลากหลายโซนนั่งรับประทานอาหาร

 

อีกหนึ่งมุมนั่งรับประทานอาหารที่มาพร้อมการออกแบบและตกแต่งร้านในสไตล์โมเดิร์น

A French Contemporary Tasting Journey, Inspired by the Season’s Peak Ingredients

ในการสร้างสรรค์คอร์สอาหาร ทางร้านได้คัดสรรและเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล แต่ละเมนูจึงปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาลเช่นกัน ผ่านแรงบันดาลใจจากสีสัน อารมณ์ และวัตถุดิบสดใหม่จากเกษตรกรท้องถิ่นที่ส่งตรงถึงร้านในทุกสัปดาห์ ตามความตั้งใจอันดีของเชฟบิ๊กและเชฟ Soohyun ที่กล่าวไว้ว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้แขกรู้สึกผ่อนคลาย ปล่อยวางจากความวุ่นวาย และได้รับการดูแลอย่างแท้จริง”


เราอยากให้ทุกคนกลับออกไปด้วยความรู้สึกเบาสบาย สดชื่น ราวกับได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกใบเล็กที่อบอุ่นและคาดไม่ถึง

 

พิถีพิถันทุกขั้นตอน

Liana Experience Course

มื้อดินเนอร์ในครั้งนี้ทางร้านเลือกเสิร์ฟความอร่อยด้วยคอร์ส Liana Experience (5,250 บาท / คน) ซิกเนเจอร์คอร์สที่จัดเรียงตามลำดับ รวมทั้งหมด 8 เมนูด้วยกัน

ระหว่างการดินเนอร์ สามารถแพริ่งความอร่อยควบคู่กับการเสิร์ฟคอร์สอาหารด้วยเครื่องดื่มค็อกเทล ม็อกเทลสุดครีเอต และไวน์คุณภาพ พร้อมมอบความเซอร์ไพรส์ด้วยเมนูคานาเป้มากมายให้ได้ลิ้มลอง

เริ่มต้นคอร์สกันที่ Amuse-bouche เซ็ตของว่างขนาดพอดีคำ สำหรับเรียกน้ำย่อยมื้อนี้ ประกอบด้วย Squid Tartelette ทาร์ตปลาหมึกที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสาหร่าย และเสริมความหวานด้วยซอสวานิลลา เพื่อดึงความหวานธรรมชาติของปลาหมึกให้ได้รสกลมกล่อม, Kampachi-Samphire Croustade ปลาคันจิที่เสิร์ฟคู่กับ Finger Lime ซึ่งเป็นผลไม้ตระกูลซีตรัส ให้รสชาติเปรี้ยวและกลิ่นหอมสดชื่น, Uni Gougère อูนิหรือไข่หอยเม่นที่อินฟิวส์ด้วยน้ำมันผัก โดยทางร้านมีเทคนิคการสกัดน้ำมันจากผัก ผลไม้ และดอกไม้ เพื่อนำมาเติมกลิ่นและรสชาติให้กับอาหาร ท็อปลงบนขนมปังแป้งนุ่มสไตล์ฝรั่งเศส สำหรับคำนี้ให้รสครีมมี่เข้มข้น ได้ทั้งความสดชื่นของน้ำมันผักและกลิ่นอายจากท้องทะเลของอูนิไปพร้อม ๆ กัน และ Pear-Tarragon Tuile คุกกี้สไตล์ฝรั่งเศสที่ให้รสเข้มข้นและความสดชื่นของลูกแพร์ดองแบบเต็มคำ

 

Amuse-bouche : Squid Tartelette และ Kampachi-Samphire Croustade

 

Amuse-bouche : Uni Gougère

 

Amuse-bouche : Pear-Tarragon Tuile

หลังจากเปิดต่อมรับรสด้วยเซ็ต Amuse-bouche เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาประเดิมความอร่อยด้วยคอร์สแรกกับเมนู Oyster หอยนางรมที่ส่งตรงความสดหวานจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเชฟได้นำจานนี้มาสาธิตวิธีทำถึงที่โต๊ะอาหาร ทุกขั้นตอนมีความพิถีพิถัน ด้วยหลายวัตถุดิบและส่วนผสมที่ซับซ้อนแต่ลงตัว ประกอบด้วยเวย์เจลที่ได้จากการแขวนโยเกิร์ตหรือมิลค์ครีมผ่านผ้ากรอง จากนั้นนำไปแช่แข็งจนกลายเป็นเจลที่ให้รสสัมผัสที่นุ่มเบา เย็นสดชื่น, บัตเตอร์มิลค์ที่ทำออกมาในรูปแบบของโฟมเนื้อเนียนละเอียด และท็อปด้วยคาเวียร์ฝรั่งเศส จานนี้รสชาติที่ได้จะมีความนุ่มนวลและเย็นสดชื่น เข้ากับความสดหวานของหอยนางรมที่ผสมผสานความอร่อยเข้ากันได้เป็นอย่างดี

 

Oyster

คอร์สถัดมาคือเมนู Crab หรือสลัดปู อีกหนึ่งจาน Starter ที่พรีเซนต์ความสดใหม่และความประณีตในแบบฉบับ Contemporary French สำหรับจานนี้เชฟได้เลือกใช้วัตถุดิบเป็น Brown Crab จากฝรั่งเศส ก่อนจะนำมาปรุงรสและนำเสนอผ่านรูปแบบโฟมกุหลาบที่ให้ทั้งกลิ่นหอมและเนื้อสัมผัสที่ละมุน พร้อมเสิร์ฟมากับ Crab Consommé ซุปใสที่ได้จากการนำเนื้อปูไปเคี่ยวจนได้น้ำสต็อก เติมความพิเศษด้วยการอินฟิวส์เข้ากับกลิ่นของดอกกะหล่ำ ตามด้วยการหยด Lemon Oil ลงไป เพื่อเพิ่มมิติของรสชาติที่แตกต่างและสดชื่นยิ่งขึ้น ก่อนจะประดับตกแต่งหน้าตาอาหารด้วยดอกไม้รับประทานได้อย่าง Nasturtium และ French Marigold ซึ่งเป็นการเพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับจานอาหารได้อย่างสมบูรณ์

คอร์สเมนูนี้ สามารถแพริ่งความอร่อยกับดริงก์ Clover Club ค็อกเทลที่มีส่วนผสมของ Raspberry Gin ผสมผสานกับ Plum Syrup ที่เป็นสูตรเฉพาะของ Liana พร้อมประดับด้วยกุหลาบ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมละมุน เสริมรสชาติได้เข้ากันดีกับสลัดปู
 

Crab

 

Cocktail : Clover Club

ระหว่างคอร์สทางร้านจะพ่วงความเซอร์ไพรส์ด้วยการเสิร์ฟเมนูคานาเป้ควบคู่ไปด้วย ภายใต้แนวคิดของ Zero Waste ที่นำวัตถุดิบมาใช้ทุกส่วนอย่างคุ้มค่า เช่นเดียวกับการครีเอตเมนูทาร์ต หรือเลือกใช้ส่วนของก้ามปูและเปลือกปูที่หลายคนอาจมองข้าม ผ่านกระบวนการปรุงอย่างพิถีพิถันเพื่อทำเป็นสต็อกเข้มข้นให้กับเมนูอื่น  นอกจากนี้คอร์สเมนูประจำฤดูกาลอย่างช่วงซัมเมอร์ ทางร้านยังให้ความสำคัญกับการใช้ ‘ผลไม้’ เป็นส่วนประกอบ เพื่อเติมเต็มความสดชื่น รสสัมผัสที่เย็นสดชื่นให้กับทุกจานอีกด้วย
 

เมนูคานาเป้ที่เสิร์ฟเคียงมากับคอร์ส Crab และค็อกเทลแก้วพิเศษ

ต่อเนื่องความอร่อยกันด้วยคอร์สเมนู Prawn กุ้งกุลาดำย่างเตาถ่านที่ทางร้านตั้งใจรังสรรค์เมนูนี้อย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน เริ่มจากการนำกุ้งกุลาดำสดใหม่มาย่างบนเตาถ่านเพื่อดึงเอาความหอมและรสชาติของกุ้งออกมาอย่างเต็มที่ เสิร์ฟคู่ความอร่อยมากับมะเขือเทศหมักที่ให้ทั้งความสดชื่นและรสสัมผัสที่ซับซ้อน, แรดิชดองสไลด์ที่ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ความกรอบ ความสดชื่น และรสชาติที่เข้มข้น แล้วราดด้วยซอสที่ทำจากหัวกุ้ง ผ่านการอินฟิวส์ด้วยกลิ่นหอมจากดอกดาวเรืองฝรั่งเศสที่ช่วยเสริมความหอมและรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น พร้อมโรยปิดท้ายด้วยผงต้มยำเล็กน้อย เพื่อเป็นการประดับจานและเพิ่มความแปลกใหม่

 

กรรมวิธีการย่างกุ้งกุลาดำด้วยเตาถ่าน

 

Prawn

นอกจากจานหลักแล้ว ทางร้านยังเสิร์ฟคั่นด้วยเมนูคานาเป้อีกเช่นเคย ครั้งนี้ทางร้านเลือกเสิร์ฟเป็น Prawn Bite ทาร์ตที่มีส่วนผสมของเนื้อกุ้ง รสชาติมีความบาลานซ์ ไม่หนักเกินไป และใช้กรรมวิธีปรุงที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่มากับ Nakin’s Cocktail ดริงก์แก้วพิเศษ โดยเป็นค็อกเทลที่มีส่วนผสมของ Nakin Gin และ โซดา ที่ช่วยเติมความสดชื่นให้กับมื้ออาหารได้ดี
 

Prawn Bite เมนูคานาเป้ที่เสิร์ฟเคียงมากับคอร์ส Prawn

 

Nakin’s Cocktail ดริงก์แก้วพิเศษที่เสิร์ฟเคียงมากับคอร์ส Prawn

ก่อนจะเสิร์ฟคอร์สถัดไป ทางร้านก็มี Complimentary เล็ก น้อย ให้ได้เอ็นจอยความอร่อยระหว่างคอร์สกับขนมปังซาวร์โดว์โฮมเมดที่ทางร้านอบแบบสดใหม่ทุกวัน ควบคู่มากับเนยและน้ำมันมะกอกคุณภาพดี โดยขนมปังซาวร์โดว์ที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟนั้น ถือว่าเป็น Palate Cleanser สุดพิเศษให้ได้ล้างปากหลังรับประทานจานซีฟู้ด เพื่อเตรียมพร้อมลิ้มรสชาติจานต่อไปได้อย่างเต็มที่

 

ขนมปังซาวร์โดว์โฮมเมดที่ทางร้านอบแบบสดใหม่ทุกวัน

มาถึงคอร์สที่ 4 กับ Quail เมนูนกกระทาย่างเตาถ่าน โดยเชฟจะนำเนื้อนกกระทาไปดรายเอจก่อน เพื่อให้ได้รสที่เข้มข้น จากนั้นนำไปย่างเตาถ่านให้สุกหอมกำลังดี ตอนเสิร์ฟจะรมควันด้วย Apple Wood Chips เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บริเวณส่วนขาของนกกระทา จะมีเจลหัวบุกอยู่ด้านล่างที่ช่วยเพิ่มความหวาน และท็อปด้วยบุกพูเร เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงด้วยเห็ด 3 รูปแบบ อีกทั้งยังมี Mushroom Consommé ซุปเห็ดใสที่หยดน้ำมันขิงลงไปโดยรอบเพื่อเพิ่มความหอม และปีกนก (จำลอง) ที่ทำจากแป้งซาวร์โดว์ในรูปแบบของ Twill (ทวิลล์) หรือขนมปังแบนบาง ซึ่งด้านสอดไส้ด้วย Apple Gel ที่ให้ทั้งความหวานหอมและรสสัมผัสที่ซับซ้อน แนะนำให้รับประทานจากส่วนขาของนกก่อน ตามด้วยซุป และปีกนก (จำลอง) เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารคอร์สนี้อย่างสมบูรณ์

 

กรรมวิธีการย่างส่วนขาของนกกระทาด้วยเตาถ่าน

 

รมควันเนื้อนกกระทาย่างด้วย Apple Wood Chips เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

คอร์สเมนูนี้ สามารถแพริ่งความอร่อยกับดริงก์ Nakin’s Cocktail ค็อกเทลเวอร์ชันพิเศษของ Bloody Shiraz Gin ที่เติมโซดาและเพิ่มสมุนไพรบางชนิด เพื่อเสริมกลิ่นหอม ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบเรียบง่ายแต่ลงตัว
 

Nakin’s Cocktail ดริงก์เวอร์ชันพิเศษของ Bloody Shiraz Gin

จากนั้นมาต่อกันที่คอร์สจานปลากับเมนู Grouper ปลาเก๋าเพลิง (สายพันธุ์ Tomato Rock Grouper) ที่ทางร้านคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ได้ความกรอบของส่วนหนังและส่วนเนื้อที่ให้รสหวาน สัมผัสนุ่มเด้งในทุก คำ เสิร์ฟพร้อมซอสและส่วนประกอบที่ลงตัวถึง 3 รูปแบบ โดยมี Beurre Blanc Sauce เป็นซอสหลักของจานที่ทำให้เมนูนี้มีความอร่อยลงตัว

 

Grouper

สำหรับคอร์สนี้ เสิร์ฟมาพร้อมจานเคียงหรือคานาเป้ที่ทำจากแป้งขนมปังฝรั่งเศสมีลักษณะคล้ายแพนเค้ก แต่โดดเด่นด้วยผิวสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน ควบคู่กับดริงก์แก้วพิเศษอย่าง Rose Black Tea Kombucha ม็อกเทลคอมบูฉะสดชื่น หอมกลิ่นกุหลาบที่เหมาะแพริ่งความอร่อยกับจานปลา เติมความเฟรชระหว่างมื้ออาหารได้ดี
 

เมนูคานาเป้และ Rose Black Tea Kombucha ม็อกเทลแก้วพิเศษที่เสิร์ฟเคียงมากับคอร์ส Grouper

จัดเต็มความอร่อยด้วย Main Course (ที่สามารถเลือกได้ว่าจะรับประทานเมนู Lamb หรือ Wagyu ตามความชอบ) สำหรับใครที่เลือกสั่ง Lamb เมนูแกะกงฟีต์ที่ผ่านการหมักและปรุงอย่างพิถีพิถันด้วยสมุนไพร เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น เสิร์ฟมาพร้อมกับ Garlic Yogurt ที่ให้รสเค็มนิด เปรี้ยวหน่อย ช่วยตัดรสชาติเนื้อแกะได้ดี, สลัดผักรวม และ Lamb Jus ซอสเข้มข้นที่ผ่านการ Reduction จากเนื้อแกะ พร้อมตกแต่งจานด้วยซุกินีย่าง แครอท และพาร์สนิป

 

Lamb

หากใครที่เป็นสายเนื้อให้เลือกสั่ง Wagyu เมนูวากิวดรายเอจที่พรีเซนต์รสชาติและเนื้อสัมผัสนุ่มของเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเสิร์ฟมาพร้อมกับ Beef Jus ซอสสีแดงเข้มข้นที่ผ่านการ Reduction จากเนื้อวากิว, คะน้าฮ่องกง, ทรัฟเฟิลสไลด์, กราแตงมันฝรั่ง และวอเตอร์เครสพูเร

 

Wagyu

ในส่วนของจานเคียงพิเศษที่ช่วยเติมเต็มรสชาติให้กับเมนูจานหลัก ไม่ว่าจะเลือกเมนู Lamb หรือ Wagyu ก็จะได้ลิ้มลอง Potato Foam ซิกเนเจอร์ความอร่อยของทางร้านที่มีลักษณะคล้ายมันบด ฉีดด้วยไซฟอนให้ได้เนื้อสัมผัสที่ละเอียด บางเบา และกลมกล่อมเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมี Beignet ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจานเคียงที่ด้านในสอดไส้ด้วย Fennel Puree และท็อปด้วยไข่แดงทรัฟเฟิล ผสมผสานรสชาติออกมาได้หลากหลายมิติ ตามความตั้งใจในทุกจาน
 

Potato Foam และ Beignet เมนูคานาเป้ที่เสิร์ฟเคียงมากับคอร์ส Lamb และ Wagyu

หลังจากอิ่มอร่อยกับสารพัดเมนูอาหารคาวกันไปแล้ว ทางร้านก็พร้อมเสิร์ฟ Pre-Dessert สุดพิเศษ ตามฤดูกาลให้ได้ล้างปากกันด้วยเมนู Peach โยเกิร์ตพานาคอตต้ากับพีช ผลไม้ประจำฤดูกาลที่ทางร้านเลือกพรีเซนต์ความสดชื่นหอมหวานของพีชเป็นพิเศษ ด้านล่างสุดของตัวขนมจะเป็น Fennel Crumble ที่ให้สัมผัสกรุบกรอบ ส่วนด้านบนท็อปด้วยพีชสดสไลด์ที่ให้ความหอมหวานอมเปรี้ยวอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนราดตามด้วยซอสพีชเข้มข้น พร้อมตกแต่งด้วย Gin Zest เจลใส ที่มีส่วนผสมของจินเล็กน้อย และ Tuile บางกรอบ รวมเป็นการผสมผสานทางรสชาติที่แปลกใหม่และลงตัว

 

Pre-Dessert : Peach

เมื่อถึงคิวคอร์ส Dessert ทางร้านได้เลือกเสิร์ฟเมนู Chocolate ช็อกโกแลตเค้กถั่วตองก้าที่รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟ Soohyun Lee เชฟชาวเกาหลีผู้เชี่ยวชาญด้านขนมหวานที่โด่งดังในอินสตราแกรมและมีผู้ติดตามกว่า 1 แสนคน เพราะฉะนั้นรับประกันได้เลยว่าเมนูช็อกโกแลตของเธอในครั้งนี้มีความเข้มข้น หอมละมุนแน่นอน ก่อนจะเสริมทัพความอร่อยด้วยไอศกรีมถั่วตองก้า ไฮไลท์ของเมนูนี้ที่ให้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และรสชาติที่นุ่มนวล, ช็อกโกแลตครัมเบิล ที่เพิ่มเนื้อสัมผัสกรุบกรอบของช็อกโกแลต, ช็อกโกแลตเอสพูม่าครีม ครีมช็อกโกแลตเนื้อนุ่มเบา ละลายในปาก, อัลมอนด์พราลีน เติมเต็มรสชาติให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น พร้อมประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเกล็ดทองคำและผงช็อกโกแลต ซึ่งทำให้คอร์ส Dessert ของที่นี่ ทั้งอร่อยและดูพรีเมียมในคราวเดียวกัน

 

Chocolate

ปิดท้ายมื้ออาหารตามธรรมเนียม Fine Dining กันด้วย Petit Three ซึ่งโดยปกติแล้วจะนิยมเรียกว่า Petit Four หรือขนมชิ้นเล็ก 4 อย่าง ที่เป็นการรวมความหลากหลายของรสชาติและเนื้อสัมผัสขนมหวานไว้ในหนึ่งเดียว สำหรับที่ร้าน Liana เลือกเสิร์ฟเป็นขนมหวาน 3 อย่าง ประกอบด้วย บลูเบอร์รีชีสเค้กที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน โดยมีลูกพลัมที่เสิร์ฟคู่มากับชีสเค้ก เพื่อเพิ่มมิติความหวานอมเปรี้ยวและความสดชื่น, Financier ขนมอบเนื้อนุ่มเบาสไตล์ฝรั่งเศส สอดไส้ครีมเสาวรส เปรี้ยวอมหวาน หอมสดชื่น ท็อปด้วย Salted Cream เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของรสชาติ และ Nougat แสนอร่อย เพิ่มความหนึบหนับและกลิ่นหอมเต็มคำ รวมเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร สร้างความประทับใจได้แบบไม่รู้ลืม !

 

Petit Three

สำหรับใครที่อยากติดตามเรื่องราวการทำขนมและความเชี่ยวชาญด้านขนมของเชฟ Soohyun Lee สามารถติดตามได้ทาง Instagram (@soohyunlees) และหากต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่ Liana ด้วยตัวเอง สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ทาง SevenRooms : www.sevenrooms.com/reservations/lianabangkok
Must Read!
  • สามารถจอดรถได้ที่ Talad Noi Car Park หรือ River City
  • แนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้า เพื่อจะได้โซนนั่งที่ตอบโจทย์การมาดินเนอร์แต่ละครั้งมากที่สุด
Info
Hours
Today : Closed
Mon : Closed
Tue : Closed
Wed : 5:30PM - 9PM
Thu : 5:30PM - 9PM
Fri : 5:30PM - 9PM
Sat : 5:30PM - 9PM
Sun : 5:30PM - 9PM
Price

฿฿฿฿฿฿ มากกว่า 2,000 บาทต่อคน

Address
ชั้น 2, The Corner House อาคารชัยพัฒนสิน 35, ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
Map
Getting There

สามารถเดินเท้าหรือนั่งวินมอร์เตอร์ไซค์มายังที่ร้านได้

Mass Transit

MRT หัวลำโพง

Facilities
Suggest an Edit