A Modern Latin American Dining Experience
ชวนมาเอ็นจอยดินเนอร์แบบละตินอเมริกันในร้านบรรยากาศดี ๆ ที่ Carito's ร้านอาหาร Casual Sit-down Dining และไวน์บาร์แห่งใหม่ในเครือ SARNIES Group กลุ่มบริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่ดำเนินงานในประเทศไทยและสิงคโปร์ โดยนอกจากจะขยับขยายสาขาคาเฟ่ไปยังโลเคชันต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ แล้ว ล่าสุดทาง SARNIES ยังได้ เปิดให้บริการร้านอาหารสไตล์นี้เป็นครั้งแรกภายในซอยสุขุมวิท 22 เพื่อเสิร์ฟความอร่อยให้ทุกคนได้ลองมาดื่มด่ำ Vibes ของการแฮงเอาต์แบบชาวละตินแท้ ๆ อีกด้วย
การเปิดร้าน Carito's นั้น ทาง คุณเบนจามิน ลี (Benjamin Lee) ผู้ก่อตั้งร้าน SARNIES ได้ไอเดียและแรงบันดาลใจมาจากสัญชาติอาหารละตินอเมริกัน บ้านเกิดเมืองนอนของภรรยาเขา ซึ่งเป็นชาวโคลอมเบีย ทางร้านจึงเลือกครีเอตเมนูอาหารสไตล์ละตินอเมริกัน ที่รวมกลิ่นอายวัฒนธรรมการกินทั้งของชาวโคลอมเบีย เม็กซิโก สเปน หรือเรียกได้ว่าทั่วทั้งแถบโซนละตินอเมริกามาถ่ายทอดความอร่อยให้คนไทยได้ลิ้มลอง
สำหรับชื่อร้าน ‘Carito’s’ มาจากคำที่คุณเบนใช้เรียกภรรยา สื่อถึง ‘ผู้เป็นที่รัก’ จึงเลือกนำคำนี้มาใช้เป็นชื่อร้าน เพื่อให้เกียรติแก่ภรรยาผู้เป็นที่รักและแรงบันดาลใจในการเปิดร้านอาหารแห่งนี้ สะท้อนถึงมู้ดของความอบอุ่นและเป็นกันเองของทางร้าน
Stylish two-story space sets the scene for an unforgettable moments
เมื่อเดินเข้ามาภายในอาคาร 3 ชั้น ซึ่งเป็นโลเคชันภายใต้การดูแลของ SARNIES Group พนักงานของทางร้านจะพาเราขึ้นมายังชั้น 2 ก่อน เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องด้วยเวลคัมดริงก์สดชื่น ๆ จากโซนเคาน์เตอร์บาร์หรือไวน์บาร์ ให้ได้จิบพลาง ๆ ก่อนเข้าสู่มื้ออาหารค่ำยังโซน Dining ที่ชั้น 3 อย่างจริงจัง
บรรยากาศภายในโซน Dining ถูกออกแบบมาให้เอ็นจอยความอร่อยแบบสบาย ๆ โดยมีหลากหลายโซนนั่งให้เลือกสรร เหมาะมาแฮงเอาต์ในทุก ๆ โอกาส ไม่ว่าจะเป็นโซนเคาน์เตอร์ Open Kitchen ที่เผยให้เห็นเบื้องหลังการรังสรรค์ความอร่อยของทีมเชฟอย่างใกล้ชิด หรือจะเป็นมุม Private ให้ได้สังสรรค์มื้อค่ำร่วมกับเพื่อน ๆ ครอบครัว และออกเดทกับคนรู้ใจในวันพิเศษ
The Dynamic Flavours of Latin American
เมนูอาหารของ Carito's มีความหลากหลาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ละตินอเมริกันที่ผสมผสานอิทธิพลจากสเปน โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเม็กซิโกหรือโคลอมเบีย หมวดหมู่อาหารที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อย ประกอบด้วย Small Bites หรือหมวดเรียกน้ำย่อย ตามด้วย Main Dishes หรือเมนูหลักที่มักแนะนำให้ทานคู่กับ Side Dishes ที่ช่วยเสริมรสชาติ นอกจากนี้ยังมีของหวานที่ได้รับอิทธิพลจากละตินอเมริกาให้ได้ลองสั่งมารับประทานกันอีกด้วย
ในส่วนของเครื่องดื่ม ทางร้านมี Signature Cocktails ที่ใช้วัตถุดิบจากทางละตินอเมริกามาผสมผสานให้ได้รสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตามด้วยไวน์ลิสต์ที่ทางร้านเน้นเสิร์ฟไวน์โลกใหม่ (New World Wine) เป็นหลัก นำเข้ามาจากประเทศในโซนอเมริกาใต้และยุโรปอย่างอาร์เจนตินา ชิลี โปรตุเกส สเปน และสหรัฐอเมริกา โดดเด่นด้วยรสชาติและบอดี้ที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเข้ากับอาหารละตินอเมริกันได้เป็นอย่างดี
การมา Sit-down Dining ครั้งนี้ ทางร้านเลือกเสิร์ฟความอร่อยจานแรกใน หมวด Bocaditos - Small Bites ด้วยเมนู Tiger prawn ceviche (440 บาท) Ceviche ที่ทำจากกุ้งลายเสือ ผสมกับสับปะรดและซอสอะโวคาโด เสิร์ฟคู่กับ Leche de Tigre (ซอสรสเปรี้ยวสไตล์เปรูที่ใช้ปรุงรสในจาน Ceviche มีส่วนผสมของ มะนาว หัวหอม เกลือ พริกไทย และพริกเหลือง) ทำจากกะทิ น้ำมะนาว และน้ำมัน Cilantro หรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของผักชี ที่เรียกว่า Tiger's Milk (น้ำนมเสือ) เมื่อเทซอสนี้ลงไปแล้ว ลวดลายและสีสันบนจานอาหารจะตัดกันเหมือนลายเสือ เป็นเมนูที่เรียกความสดชื่นได้ดีเหมือนได้รับประทานยำเลยทีเดียว
ตามมาด้วยอีกหนึ่งเมนูแนะนำในหมวดเดียวกันอย่าง Onion & lamb tarte tatin (460 บาท) เมนูที่ใช้เนื้อแกะนำไปทำเป็น Lamb Shank หรือขาแกะตุ๋น แล้วเคี่ยวกับซอส Chimichurri ซึ่งเป็นซอสที่ทำจากไวน์แดงและเครื่องเทศ เสิร์ฟคู่กับ Beef Fat Chimichurri ปกติแล้ว Chimichurri จะใช้น้ำมันมะกอก แต่ของทางร้านจะเป็น Beef Fat Chimichurri ซึ่งใช้ไขมันวัวแทนน้ำมันมะกอก ทำให้รสชาติมีความเข้มข้นมากกว่า และเข้ากันกับเนื้อได้ดียิ่งขึ้น
ถัดมาเป็น หมวด Para Compartir - To Share ที่แชร์ความอร่อยร่วมกันได้ โดยทางร้านเลือกเสิร์ฟเมนู Hamachi collar (650 บาท) เมนูแก้มปลาฮามาจิที่เสิร์ฟมาคู่กับ Tomato & Jalapeno Salsa หรือเครื่องจิ้มซัลซ่าสไตล์เม็กซิกัน ด้านบนโรยด้วยกุ้งแห้งที่ทอดด้วยน้ำมันจากไขมันวัวรสเข้มข้น ส่วนซอสด้านล่างจะเป็น Mojo Verde หรือซอสเขียวที่ทำจากน้ำส้มสายชู กระเทียม ต้นหอม และน้ำมัน ผสมเข้ากับซาวร์ครีม ตามสูตรเครื่องจิ้มของชาวสเปน ให้รสเปรี้ยวอมหวานที่ตัดกับความเค็มของแก้มปลาได้ดี ผสมผสานรสชาติออกมาอย่างลงตัว
ท้าชิงความอร่อยด้วยเมนูแนะนำประจำร้านที่อยากให้ทุกคนได้เปิดใจ สั่งเครื่องในย่างอย่าง Beef heart skewers (520 บาท) มาลองพิสูจน์ความอร่อยสักครั้ง โดยจานนี้เป็นเมนูหัวใจวัวย่าง เสิร์ฟคู่กับซอส Mole Coloradito ที่ทำมาจากโกโก้คั่ว ให้ได้รสติดขมหน่อย ๆ สามารถตัดรสเลี่ยนได้ โดยโกโก้ที่ใช้ปรุงเป็นซอส ทางร้านเลือกใช้เป็นโกโก้ของแบรนด์ไทย นอกจากความเข้มขมแบบพอดิบพอดีแล้ว ยังได้รสเปรี้ยวจากมะเขือเทศ และ Vinegar พร้อมตัดรสเค็มด้วยเกลือกับพริกไทย นอกจากนี้ยังทานคู่กับ Adobo Verde ที่ช่วยเสริมรสชาติของหัวใจ ดับกลิ่นคาวได้ดี เนื้อสัมผัสของหัวใจวัวย่างจะมีลักษณะคล้ายกับสเต๊กเนื้อ Sirloin สำหรับเมนูนี้ยิ่งทานคู่กับ Mashed yucca จานเคียงที่เป็นมันสำปะหลังบดผสมซอส Brown Butter ที่หอมหวานด้วยแล้ว จะช่วยเสริมรสชาติของจานนี้ให้กลมกล่อมลงตัวยิ่งขึ้น
ระหว่างมื้ออาหาร อย่าลืมสั่งเครื่องดื่ม หมวด Cocteles - Cocktails มาจิบควบคู่กัน เพื่อเสริมรสชาติและเติมเต็มบรรยากาศการแฮงเอาต์ที่สมบูรณ์ แนะนำเมนู Maracuya caipirinha (420 บาท) ค็อกเทล (สามารครีเอตเป็นม็อกเทลได้) ที่มีส่วนผสมของสับปะรดแช่แข็ง, น้ำเสาวรส, Cachaca เหล้ารัมของบราซิล ให้กลิ่นหอมเหมือนน้ำอ้อย, แชมเปญ อีกทั้งยังมีพริกไทยเพิ่มความเผ็ดร้อนและซิตรัสมาช่วยเสริมเลเยอร์ของรสชาติ ก่อนจะท็อปด้วย Sparkling Wine เป็นดริงก์สดชื่น ๆ รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นผลไม้ และเมนู Guava pisco sour (440 บาท) ค็อกเทล (สามารครีเอตเป็นม็อกเทลได้) ที่มีส่วนผสมของน้ำฝรั่งสีชมพู น้ำมะพร้าว น้ำมะนาว ท็อปฟองโฟมไข่ขาวนุ่ม ๆ แล้วดรอปด้วย Bitters เป็นดริงก์อีกหนึ่งแก้วที่ดื่มง่าย ได้ความสดชื่นที่เหมาะสำหรับสาว ๆอำลาค่ำคืนนี้กันด้วย หมวด Postres - Dessert กับเมนู Brazilian polenta cake (350 บาท) เค้กสไตล์บราซิลเลียนที่โดดเด่นด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบหรือส่วนผสมของข้าวโพดเป็นหลัก ดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมการกินอาหารเช้าของชาวบราซิล สำหรับเมนูนี้ทางร้านได้นำข้าวโพดมาทวิสต์เป็นตัวเค้ก พร้อมเพิ่มความสดชื่นด้วย Mango Passion Fruit แยมเสาวรสมะม่วง ซอสครีมคาราเมลข้าวโพด เติมเท็กซ์เจอร์ให้เคี้ยวเพลิน ๆ ด้วย Crispy Corn ข้าวโพดครัมเบิลกรุบกรอบ และโรยหน้าด้วยชีสพาร์เมซาน เป็นขนมหวานที่ผสานส่วนผสมหลากหลายชนิดให้ได้รสชาติแปลกใหม่ แต่รวมความอร่อยไว้ได้อย่างลงตัว เป็นการส่งท้ายมื้อพิเศษ เปิดประสบการณ์ทานอาหารสไตล์ละตินอเมริกันครบทุกหมวดหมู่ได้อย่างสมบูรณ์Must Read!
- แนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้าหรือจองผ่าน Chope ก่อนเข้ามารับประทานอาหาร เพื่อที่จะได้โซนนั่งที่ตอบโจทย์มื้ออาหารนั้น ๆ มากที่สุด









