Published on January 22, 2021

The Timeless Feel of Italian Lakeside Life

ชวนสัมผัสประสบการณ์ทานอาหารมื้อพิเศษ พร้อมดื่มด่ำวิวสวย ๆ ริมแม่เจ้าพระยาที่ Riva del Fiume Ristorante ร้านอาหารอิตาเลียนบรรยากาศแสนอบอุ่นของ Four Seasons Hotel Bangkok โรงแรมหรูดีไซน์สวยแห่งใหม่ในย่านเจริญกรุง โดยที่นี่เลือกเสิร์ฟหลากหลายเมนูอาหารอิตาเลียนรสชาติต้นตำรับ รังสรรค์จากวัตถุดิบท้องถิ่นไทยและวัตถุดิบนำเข้าคุณภาพดีจากประเทศอิตาลี ครีเอตโดย Executive Chef มากฝีมืออย่าง เชฟ Andrea Accordi ผ่านการนำเสนอรูปแบบใหม่ เพื่อให้คนไทยได้ลิ้มลองความอร่อยของอาหารอิตาเลียนแท้ ๆ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร

 

ทางเข้าร้าน Riva del Fiume Ristorante

ซึ่งในระหว่างที่กำลังอิ่มอร่อยกับอาหารอิตาเลียนจานพิเศษอยู่นั้น ทุกคนจะได้เพลิดเพลินตาไปกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่เบื้องหน้า ชิลล์เอาต์ไปกับการได้รับลมเย็น ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ ราวกับได้ใช้ชีวิตตามอย่างไลฟ์สไตล์ของชาวอิตาลีที่มักใช้ช่วงเวลาดี ๆ ณ ริมทะเลสาบโคโม่กันเลยทีเดียว

 

หลากหลายโซนนั่งด้านใน

เพราะคำว่า ‘Riva’ ในภาษาฝรั่งเศสนั้นหมายถึง ‘ริมฝั่งน้ำ’ ทางร้าน Riva del Fiume Ristorante จึงได้มีการจำลองบรรยากาศการทานอาหาร ให้เสมือนนั่งอยู่ริมทะเลสาบโคโม่ (Lake Como) หนึ่งในสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของประเทศอิตาลีนั่นเอง

Open Kitchen within the Dining Room

ทันทีที่เดินเข้ามาภายในร้าน ก็จะได้พบกับการจัดแบ่งโซนให้บริการด้านต่าง ๆ อย่างเป็นสัดส่วน ท่ามกลางบรรยากาศการต้อนรับของเหล่าพนักงานที่ทั้งอบอุ่นและเป็นกันเอง ไล่เรียงกันมานับตั้งแต่โซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบคุณภาพนำเข้าจากประเทศอิตาลีที่นิยมใช้ประกอบอาหาร ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันมะกอก, เส้นพาสต้าหลากหลายแบบ, ชีส, ไวน์, ผลเคเปอร์และสมุนไพรอื่น ๆ อีกมากมายให้เลือกช้อปกลับไปทำทานเองที่บ้าน

 

โซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบคุณภาพนำเข้าจากประเทศอิตาลี

ตามมาด้วยโซนนั่งทานอาหารด้านในที่มีให้เลือกนั่งทานสำหรับกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ตกแต่งร้านในสไตล์ Contemporary ที่ผสมผสานความร่วมสมัย มู้ดโทนอบอุ่น และความคลาสสิกไว้ในคราวเดียว

 

โซนนั่งด้านในสำหรับผู้ที่เข้ามาทานอาหารประมาณ 3-4 คน

 

โซนนั่งด้านใน มุมโซฟาสไตล์วินเทจสุดคลาสสิก

 

โซนนั่งด้านในแบบ Long Table สำหรับผู้ที่เข้ามาทานอาหารแบบกลุ่มใหญ่ ในบรรยากาศส่วนตัว

หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศการทานอาหารให้ดูสนุกสนานและมีชีวิตชีวามากขึ้น แนะนำให้เลือกโซนนั่งใกล้ ๆ กับครัวเปิด เพื่อในระหว่างที่ทานจะได้เพลิดเพลินไปกับภาพเบื้องหลังการรังสรรค์ความอร่อยของทีมเชฟ ซึ่งพิถีพิถันและตั้งใจปรุงอาหารแต่ละเมนูแบบสุดฝีมือ 

 

โซนนั่งด้านใน แบบเคาน์เตอร์บาร์

 

โซนครัวเปิดที่เผยให้เห็นบรรยากาศการทำงานของเหล่าเชฟประจำร้าน

สำหรับสายชิลล์ ทางร้านก็พร้อมให้บริการพื้นที่ระเบียงโซนด้านนอก เปิดโล่งแบบ al fresco ให้ได้เลือกนั่งแฮงเอาต์กันตามอัธยาศัย ซึมซับบรรยากาศสบาย ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมชมวิวสระว่ายน้ำและสวนสวยสุดร่มรื่นท่ามกลางแสงธรรมชาติที่ชวนให้เพลินตาเพลินใจ

 

โซนนั่งด้านนอก บริเวณริมระเบียงที่สามารถรับลมชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ในระหว่างทานอาหาร

ระหว่างทานอาหาร ทางร้านมีบริการเสริม เช่น ผ้าคลุมไหล่และซองสำหรับใส่หน้ากากอนามัย แม้จะเป็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยแต่แสดงถึงความใส่ใจที่มอบให้แก่ผู้เข้ามาทานอาหารอย่างแท้จริง

A Flavourful Journey from the North To South of Italy

มาถึงด้านอาหารกันบ้าง เมนูอาหารอิตาเลียนของ Riva del Fiume Ristorante มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ ‘Food Journey’ ที่จะพาเหล่านักชิมทุกคนเดินทางไปตามล่าความอร่อยทั่วประเทศอิตาลี ตั้งแต่อิตาลีตอนเหนือไปจนถึงอิตาลีตอนใต้ อาหารแต่ละจานมีการบอกเล่าเรื่องราว ทั้งที่เกี่ยวกับวัตถุดิบ, ครอบครัว, เพื่อนฝูง และความรัก โดยล้วนสื่อให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของทางอิตาลี ความพิเศษที่คัดสรรมาเพื่อเสิร์ฟให้ชาวไทยได้ลิ้มลอง ด้วยสูตรต้นตำรับของ เชฟ Andrea Accordi - Executive Chef (ผู้เคยฝากผลงานไว้ที่โรงแรมโฟรซีซั่นส์ ฮ่องกง) ร่วมกับ เชฟ Enrico Maritan - Chef de Cuisine ผู้เป็นหัวหน้าพ่อครัว 

 

เชฟ Andrea Accordi - Executive Chef ประจำ Four Seasons Hotel Bangkok

โดยพวกเขาได้ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพและวัตถุดิบท้องถิ่น (จากในประเทศไทยและประเทศอิตาลี) ตามฤดูกาล นับตั้งแต่น้ำมันมะกอกแบบ Extra Virgin Olive Oil ที่หาทานได้จากที่ Tasca d’Almerita ประเทศอิตาลีเท่านั้น, Capers คุณภาพดีที่สุดจากเกาะซิซิลี มีชื่อว่า Pantelleria, พริกแห้งทอดจากเมือง Senise แคว้น Basilicata ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี และอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการชูรสชาติอาหารให้กับแต่ละจานพิเศษ สร้างสรรค์อาหารอิตาเลียนตามแบบต้นตำรับ ในรูปแบบที่ทันสมัย เพื่อให้คนไทยได้ลิ้มลองอาหารอิตาเลียนผ่านมุมมองที่ต่างไปจากเดิม ทานง่ายและได้รสชาติที่ถูกปากมากยิ่งขึ้น 

 

ทีมเชฟมากฝีมือ ตั้งใจรังสรรค์ความอร่อยอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน

เมนูอาหารของทางร้านจะถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุก Quarter (ประมาณ 6 เดือน) ในแต่ละปี เพื่อความหลากหลายของวัตถุดิบและเสริมประสบการณ์ทานอาหารอิตาเลียนรูปแบบใหม่ไม่จำเจ

Modern Italian Dishes

ทางร้านเริ่มต้นเสิร์ฟความอร่อยของมื้อพิเศษในครั้งนี้ด้วยเมนู Appetizer เรียกน้ำย่อยอย่างชุดขนมปังฝรั่งเศส ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับ Grissini หรือขนมปังขาไก่สไตล์ฝรั่งเศส และน้ำมันมะกอกคุณภาพ 3 สายพันธุ์ ที่นำเข้าจากประเทศอิตาลี

ก่อนจะทยอยเสิร์ฟเมนูหมวด Cichetti หรือ Little Snack สำหรับทานเล่นและแบ่งกันทาน ได้แก่ Sardine (540 บาท) ปลาซาร์ดีนทอด สีเหลืองนวลชวนทานที่เสิร์ฟแบบเสียบไม้ ให้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมกับ Salsa Verde ซอสสีเขียวที่มีส่วนผสมของใบพาสลีย์ ใบโหระพา และอาร์ติโช้ค ช่วยชูรสชาติของปลาซาร์ดีนเนื้อแน่นให้มีความหวาน และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพร, Fonduta di Parmigiano (250 บาท) ฟองดูว์ชีสพาร์เมซาน ที่เชฟเสิร์ฟในสไตล์ Finger Food สามารถใช้มือหยิบทานได้ พร้อมเปลี่ยนรูปแบบการทานใหม่ด้วยการนำเอาชีสพาร์เมซานมาสอดไส้ในแป้งที่บางกรอบ เมื่อกัดเนื้อแป้งลงไปชีสด้านในจะทะลักล้นออกมาคล้ายกับไส้ลาวาให้ได้สัมผัสถึงความชุ่มฉ่ำของชีสแบบเต็ม ๆ คำ, Granchio Reale (980 บาท) สลัดเนื้อปู Norwegian King ที่เสิร์ฟมาในรูปแบบของเจลลีด้านล่างและท็อปบนด้วยฟองโฟมรสเปรี้ยวอมหวานที่ได้จาก Parmigiano Fondue ทานแล้วสดชื่น 

 

Granchio Reale (980 บาท)

Burratina (580 บาท) ชีสบูรัตต้าที่มีรสชาติแบบเบาบาง พร้อมตัดรสเลี่ยนด้วยมะเขือเทศที่มีเนื้อสัมผัสแบบนุ่มชุ่มฉ่ำ ลูกฟิกซ์ ผักสลัด และน้ำมันมะกอก

 

Burratina (580 บาท)

และ Vitello Tonnato (590 บาท) เนื้อเทนเดอร์ลอยน์ที่ผ่านกระบวนการ Slow Cooked คลุกเคล้ากับเนื้อปลาทูน่า ซอสแอนโชวี ผักสดหลากหลายชนิดอย่างเซลารีหรือขึ้นช่ายฝรั่ง และผลเคเปอร์ที่ผ่านกระบวนการคารามาไรซ์ ตักทานพร้อม ๆ กันได้รสชาติหลากหลายมิติ เข้ากันอย่างลงตัว

 

Vitello Tonnato (590 บาท)

มาถึงเมนูอิ่มท้องแบบ A La Carte ที่แนะนำให้ลองสั่งมาทานกันบ้างอย่าง Scampi (1,350 บาท) กุ้งสแกมปีสดเนื้อหวาน (กุ้งน้ำจืดรสหวาน ให้เนื้อสัมผัสนุ่มหนึบหนับ) ที่เสิร์ฟท็อปมาบนมะเขือเทศสดฉ่ำ โรยหน้าด้วยเม็ดทับทิม และใบสมุนไพร 3 อย่าง พร้อมด้วยซอสที่ปรุงจากพิสตาชิโอ นำเข้ามาจากเมือง Bronte แคว้น Sicily ให้รสหวานมัน กลิ่นหอมชวนทาน นำมาหยดลงบนจาน เป็นพรีเซนเทชันสวย ๆ ให้อาหารจานนี้มีสีสัน ดูน่าทานมากขึ้น 

 

Scampi (1,350 บาท)

หรือจะเป็นอีกหนึ่งเมนูกุ้งน่าลองอย่าง Gamberi rossi Mazzara del Vallo (1,250 บาท) กุ้งแดงสดจากเมืองมาซารา เดล วัลโล ประเทศอิตาลี (กุ้งแดงสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก) เนื้อกุ้งมีเนื้อสดหวาน สัมผัสกรุบกรอบ เข้ากับความครีมมี่ของชีสสตราเซียเทลลา และตัดรสเลี่ยนด้วยพริกป่น ใบยี่หร่าป่าที่เสิร์ฟเคียงมาด้วยกัน ให้รสชาติที่เข้ากันเป็นอย่างดี

 

Gamberi rossi Mazzara del Vallo (1,250 บาท), Ricciola (580 บาท) และ Tonno al Basilico (750 บาท)

ภายในจาน (ภาพด้านบน) ประกอบด้วยเมนู Gamberi rossi Mazzara del Vallo (1,250 บาท), Ricciola (580 บาท) ปลา Amberjack ที่ท็อปด้านบนด้วยไข่ปลาแซลมอน แตงกวาดอง และใบสะระแหน่, Tonno al Basilico (750 บาท) ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ส่วนกลางลำตัวมีเนื้อแดงและไม่มีไขมัน แล้วนำไปเซียร์ให้สุกแบบกรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้านบนด้วยถั่วแขก มะเขือเทศ และใบโหระพา 

ส่วนใครที่กำลังมองหาอาหารอิตาเลียนแบบคลาสสิกอยู่ละก็ ทางร้านก็พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยเมนูพาสต้าโฮมเมด ทำสดใหม่น่าทาน ไม่ว่าจะเป็น Caramelle (560 บาท) เมนูพาสต้าที่ทำมาจากเส้น Ravioli สอดไส้ด้วยเนื้อไก่บด ชีส Robbiola และซอส Cacciatora พร้อมดีไซน์เส้นพาสต้าออกมาให้มีลักษณะคล้ายกับขนมท็อฟฟี่ เพราะ ‘Caramelle’ นั้นหมายถึง ‘ลูกอม’ หน้าตาน่าทาน ตัวพาสต้าถูกปรุงแบบ Slow Cooked ทานตอนร้อน ๆ ให้รสชาติกลมกล่อม, Spaghettone Aglio & Olio (450 บาท) สปาเก็ตตี้ผัดคลุกเคล้าเข้ากับน้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil กระเทียม และท็อปบนด้วยพริกแดงแห้ง

 

Spaghettone Aglio & Olio (450 บาท)

หรือจะเป็น Bufala (680 บาท) พิซซ่าโฮมเมดที่ทำจากแป้ง Sourdough ซึ่งหมักจากยีสต์ธรรมชาติ รับรองว่าทานแล้วย่อยง่าย ท้องไม่อืดแน่นอน ท็อปหน้าด้วยชีสมอสซาเรลลา มะเขือเทศเชอร์รี และใบโหระพา พร้อมเสิร์ฟมาในถาดขนาดกำลังดี เหมาะสำหรับแบ่งกันทาน

 

Bufala (680 บาท)

ก่อนจะจัดเต็มความอร่อยด้วยเมนูไฮไลต์อย่าง Bavetta (980 บาท) สเต๊กจานหลักที่เชฟเลือกใช้เนื้อวากิว ‘Mayura’ นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย (พิเศษกว่าเนื้อวัวชนิดอื่น ๆ ให้เนื้อสัมผัสนุ่มฉ่ำและมีรสหวาน เพราะถูกเลี้ยงด้วยช็อกโกแลต) ย่างมาในระดับ Medium Rare แล้วราดตามด้วยซอสไวน์แดง เสิร์ฟพร้อมผักสดตามฤดูกาลอย่าง ‘Radicchio Tardivo’ ที่มีลักษณะคล้ายกับหัวปลีของไทย ซึ่งนำมาย่างทานคู่กับเนื้อเพื่อตัดรสเลี่ยน

 

Bavetta (980 บาท)

ปิดท้ายมื้ออาหารตามธรรมเนียมด้วยสารพัดเมนูของหวานสไตล์อิตาเลียนที่เสิร์ฟในรูปแบบแบ่งกันทานอีกเช่นเคย อาทิ Tiramisu (For 1 : 350 บาท / To Share : 750 บาท) ทีรามิสุรสต้นตำรับ ขนมหวานยอดนิยมของชาวอิตาลีที่เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีม Amaretto ที่มีรสชาติคล้ายกับผลเชอร์รีเชื่อม, Granita di Fragole (360 บาท) กรานิต้ารสสตรอเบอร์รี ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับ Malvasia di Capofaro, Ricotta Cream และฟองโฟมอัลมอนด์เนื้อเนียนละเอียด, Torta Caprese (380 บาท) เค้กช็อกโกแลตที่ทำมาจากโกโก้ของทางจังหวัดเชียงใหม่ (Kad Kokoa) นำเสนอสไตล์อิตาเลียน เสิร์ฟพร้อมเฮเซลนัทจากแคว้นปีเยมอนเต, ไอศกรีมซอร์เบท์อมารีนา นูกัตพิสตาชิโอ ที่ทานคู่กันแล้วช่วยเสริมรสชาติของกันและกันได้เป็นอย่างดี รวมถึง Chocolate Truffle และ Petite Tart รสชาติต่าง ๆ เป็นขนมหวานชิ้นเล็ก ๆ ที่ชาวอิตาลีนิยมเสิร์ฟให้ทาน เพื่อเป็นการล้างปากส่งท้ายมื้อแสนอร่อยสุดประทับใจ

นอกจากเมนูอาหารคาวและอาหารหวานแล้ว ทางร้านยังมีเมนูเครื่องดื่มค็อกเทลและม็อกเทลไว้คอยเสิร์ฟให้บริการ เพื่อเติมเต็มอรรถรส เสริมสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายในระหว่างมื้ออาหารอีกด้วย
 

Chocolate Truffle และ Petite Tart

Must Read!
  • เนื่องจากเมนูต่าง ๆ ของทางร้านล้วนปรุงสดใหม่แบบจานต่อจาน และต้องผ่านการคัดสรรวัตถุดิบเป็นพิเศษ โดยการจัดเตรียมล่วงหน้าของทีมเชฟ การเข้ามาทานอาหารที่ร้านจึงต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง อย่างน้อย 1 วัน
Info
Hours
Everyday : 6:30AM - 10:30AM
12PM - 2:30PM
6PM - 10:30PM
Price

฿฿฿฿฿ 1,001-2,000 บาทต่อคน

Address
300/1 ถนนเจริญกรุง เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
Map
Mass Transit

BTS สะพานตากสิน

Facilities
Suggest an Edit