Kavee Returns, Reimagined as Sakkwa
หากใครเคยติดใจในรสชาติอาหารไทย Fine Dining จากร้านกวี (Kavee) ที่รังสรรค์ความอร่อยโดย ‘เชฟเต้-วรธน อุดมชโลทร’ มาก่อนหน้านี้ เชื่อเหลือเกินว่าการมาเยือนร้าน ‘สัก-กะ-วา (SAKKWA)’ ร้านอาหารไทยร่วมสมัยแห่งใหม่ใจกลางย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นภาคต่อของกวีนั้น จะต้องประทับใจกับการประพันธ์ความอร่อยครั้งใหม่ที่เขาดูแลร่วมกับ ‘คุณแอม-กัญจน์พิมพ์ อัครภูษิต (ภรรยา)’ โดยปรับโฉมจาก Fine Dining สู่ Casual Dining ด้วยการเสิร์ฟแบบ A La Carte นำเสนอแนวอาหารไทยที่แชร์ความอร่อยกันได้ เข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน และราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น ผ่านการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพทั้งจากท้องถิ่นไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมเทคนิคการปรุงแบบผสมผสานตามแบบฉบับของเชฟเต้ ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลาย สามารถแวะมาเอ็นจอยมื้ออาหารได้ทุกโอกาส
ในยุคที่ร้านอาหารส่วนใหญ่เริ่มปรับมาให้บริการในรูปแบบ Casual Dining มากขึ้น ร้าน SAKKWA จึงเลือกออกแบบให้ที่นี่เป็นเสมือนร้านอาหารประจำของผู้คนในย่านนี้ที่แวะเวียนกลับมาอิ่มอร่อยได้บ่อย ๆ
ชื่อร้าน ‘สัก-กะ-วา (SAKKWA)’ มาจากชื่อเรียกบทกลอนประเภทหนึ่งของไทย ซึ่งในบริบทนี้มีเชฟเต้เป็นผู้ประพันธ์รสชาติ แม้จะเปลี่ยนแนวอาหารมาเป็นแบบ A La Carte แต่ลายเซ็นรสมือของเชฟยังคงรังสรรค์อาหารที่มีความละเมียดละไม พรีเซนเทชันในสไตล์ Fine Dining เช่นเดิม แต่เพิ่มเติม Portion อาหารให้มีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถ Sharing กันได้ ถือเป็นความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์ทานอาหารระดับสูงในราคาที่สมเหตุสมผล
Dining in a Cozy Ambiance
ตัวร้าน SAKKWA ตั้งอยู่บนชั้น 4 ภายในตึกแถวใจกลางย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ซึ่งเป็นย่านอาร์ตและเป็นย่านกิจกรรมสร้างสรรค์ ท่ามกลางบรรยากาศที่มีความ Cozy ตกแต่งในสไตล์ Mid-Century ผสมผสานกับวัสดุเหล็กที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตภายในชุมชน ซึ่งมีการค้าเหล็กเป็นธุรกิจหลักของย่าน เสริมความร่มรื่นสบายตาด้วยไม้ประดับให้ที่นี่ดูเหมือนเป็นห้องนั่งเล่นสุดผ่อนคลาย อีกทั้งทางร้านยังร่วมคอลแลปกับศิลปินท้องถิ่น (Local Artist) นำภาพวาดศิลปะมาติดผนังภายในร้าน ให้ได้มู้ดของความเป็น Art Gallery ในตัว
ตามมาด้วยหลากหลายโซนนั่งรับประทานอาหารที่รองรับการ Dinner ทั้งแบบเป็นส่วนตัวและแบบกลุ่ม ทางร้านรองรับลูกค้าได้ทั้งหมดประมาณ 48-50 ที่นั่ง พร้อมโซนครัวเปิด เผยให้เห็นเบื้องหลังการปรุงอาหารแต่ละจานของทีมเชฟอย่างใกล้ชิด
ในอนาคตอาจจะมีการจัด Workshop ตอนกลางวัน เช่น เชฟสอนทำอาหาร หรือการจัดดอกไม้ เพื่อให้ได้ Vibes ของกิจกรรมและการมีส่วนร่วมที่สอดคล้องกับโลเคชันที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านแห่งศิลปะ
Thai Roots in a Modern Form, Where Flavor Flows Like Poetry
เมนูอาหารของร้าน SAKKWA นำเสนออาหารไทยร่วมสมัยในรูปแบบ A La Carte ที่มีพรีเซนเทชันสวยงาม สามารถแชร์ความอร่อยร่วมกันได้ โดยมีเมนูไฮไลท์ที่หยิบยกบางเมนูซิกเนเจอร์ยอดนิยมจากกวีมาเสิร์ฟความอร่อยที่นี่ ด้วย Portion ที่ใหญ่ขึ้น ผสมผสานเมนูใหม่ ๆ หลากหลายหมวด ทั้งอาหารทานเล่น จานหลัก และของหวาน ที่เน้นความสร้างสรรค์และลายเซ็นการปรุงอาหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟเต้มาพรีเซนต์ความอร่อยในทุก ๆ จาน พร้อมด้วยไวน์ลิสต์คุณภาพที่เสิร์ฟควบคู่กับมื้ออาหาร
โดยทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี ทั้งแบบ Local และนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงมีตู้ดรายเอจเช่นเดียวกับเมื่อครั้งเปิดให้บริการที่ร้านกวีทุกอย่าง ทั้งนี้การให้บริการยังเป็นไปตามมาตรฐาน Fine Dining ใน Version ที่มีความเป็นกันเองมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนที่มาที่ร้าน ได้รับความผ่อนคลาย เอ็นจอยมื้ออาหารแบบสบาย ๆ ไม่ต้องรู้สึกเกร็ง
ครั้งนี้ประเดิมความอร่อยด้วยเมนู กุ้งลายเสือ (360 บาท) หรือ 'เสือซ่อนกลิ่น กุ้งซ่อนเล็บ' เมนูไฮไลท์ที่ส่งต่อความอร่อยมาจากร้านกวี โดยใช้กุ้งลายเสือจากจังหวัดตราด ดองในลูกมะกรูดพร้อมสมุนไพรไทย เสิร์ฟในลูกมะกรูด ราดด้วยซอสสมุนไพรสูตรลับ วิธีรับประทานคือให้บีบมะกรูด ลงไปบนซอสเพื่อเพิ่มความหอมและความกลมกล่อม
ตามด้วยเมนู หอยเชลล์แม่คะนิ้ง (330) หอยเชลล์ที่เสิร์ฟมากับกรานิต้าน้ำกะทิหมักที่มีรสเปรี้ยว รสชาติคล้ายต้มกะทิหอย รสเปรี้ยวนำเสริมด้วยขิงกรอบ ผสานกับความสดชื่นของแตงกวา และซอสมะพร้าวสไปซี่ที่ให้รสเผ็ดเล็กน้อย ทำออกมาในลักษณะเมนู Appetizer ได้รสสัมผัสเย็นสดชื่น ช่วยเปิดต่อมรับรสและเรียกน้ำย่อยระหว่างมื้ออาหารได้ดี
ถัดมาเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารทานเล่นที่สื่อถึงความเป็นย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ด้วยการนำแรงบันดาลใจจากสตรีทฟู้ดมารังสรรค์เป็นความอร่อยอย่างมีกิมมิกมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า กุยช่ายตลาดน้อย (200 บาท) ขนมกุยช่ายดีไซน์รูปทรงดอกไม้สุดน่ารักที่ใช้ผักปลอดสารพิษ ปรุงรสด้วยสูตรเฉพาะ แล้วนำไปนึ่งด้วยอุณหภูมิพอเหมาะ ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มหนึบใน เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสสูตรลับเฉพาะ ตกแต่งด้วยดอกไม้ออร์แกนิกที่สามารถรับประทานได้ จากแหล่งผลิตที่ดูแลโดยเชฟเอง สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นจนจบ
ทวีความอร่อยมากขึ้นตามลำดับกับเมนู ไส้กรอกเป็ดรมควัน (385 บาท) สะท้อนแนวคิด Zero Waste โดยการเลือกใช้สะโพกเป็ดนำไปทำไส้กรอก และใช้คอเป็ดเป็นปลอก ส่วนประกอบด้านในของไส้กรอกนั้นอัดแน่นด้วยเนื้อเป็ดและซอสสมุนไพร ซึ่งเป็นการผสมผสานวัตถุดิบและรสชาติอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกคล้ายกับไส้อั่ว นอกจากนี้ยังเสิร์ฟมาพร้อมกับพริกหยวกย่าง เพื่อเพิ่มมิติให้กับไส้กรอกทั้งความหอมและช่วยตัดรสชาติ วิธีรับประทานแนะนำให้บีบมะนาวลงไปบริเวณไส้กรอก จะช่วยเสริมรสชาติให้หอมและอร่อยมากยิ่งขึ้น
จากนั้นมาลองจานผัดกันบ้างกับเมนู โอซุ่น (220 บาท) ที่นำก้านของผักโอซุ่น (ตระกูลผักกาด) มาผัดกับเผ็ดหอม โดยใช้ครีมปลาเค็มเป็นส่วนประกอบด้านล่าง ส่วนด้านบนโรยหน้าด้วยผักเคลทอดกรอบ เพื่อเพิ่มรสสัมผัสให้อาหารจานนี้มีมิติมากขึ้น ก่อนรับประทาน แนะนำให้คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน แล้วรับประทานพร้อมกับผักเคล จะเพิ่มความกลมกล่อมลงตัว
ในส่วนของเมนูแกงแนะนำที่นิยมเสิร์ฟรับประทานคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ ต้องลอง แกงขี้เหล็กแก้มหมูย่าง (420 บาท) อาหารไทยโบราณ ผ่านกรรมวิธีที่พิถีพิถัน สำหรับใบขี้เหล็กจะนำไปมาต้มด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะ เพื่อให้ได้ใบที่มีความนิ่ม ไม่มีรสขม ส่วนแก้มหมู เชฟจะนำมาย่างด้วยเตาถ่าน เพื่อเพิ่มความหอมตามสูตรโบราณ ซึ่งให้ทั้งความหอมและรสกลมกล่อม ก่อนตกแต่งด้วยการราดหัวกะทิและโรยด้วยพริกทอด เพื่อเพิ่มมิติของรสชาติและเนื้อสัมผัสที่กรอบ ถือเป็นการยกระดับเมนูแกงไทยดั้งเดิมด้วยเทคนิคแบบ Fine Dining ที่ให้ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน
จัดเต็มความอร่อยด้วยเมนูจานหลักอย่าง เป็ดพรายควัน (720 บาท) เป็ดดรายเอจที่เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสมัสมั่นสูตรเฉพาะที่ให้รสชาติเข้มข้น ประกอบกับส่วนผสมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเห็ด, Baby Potato และมะเขือเทศ โดยรวมของจานนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลของรสชาติและเนื้อสัมผัส ด้วยส่วนประกอบที่ให้ความหอมมันและรสเปรี้ยวช่วยตัดความมันเลี่ยน ก่อนเพิ่มมิติด้วยกลิ่นหอมของหอมแดงย่างเตาถ่าน เป็นเทคนิคการปรุง ผสมผสานรสชาติอาหารระหว่างเนื้อเป็ดและซอสไทยรสเข้มข้นได้อย่างลงตัว
ปิดท้ายกันที่หมวดของหวานกับเมนู สับปะรดแสงทอง (250) เมนูของหวานที่ผสมผสานรสชาติและเนื้อสัมผัสของหลากหลายส่วนผสมที่แตกต่างกันในหนึ่งเดียว ได้แก่ สับปะรดย่างตรงส่วนฐานของจาน เจลลี่สับปะรดและเจลลี่สาโทที่ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติ เติมความสดชื่น ไอศกรีมสับปะรดสูตรเฉพาะของเชฟเต้ พร้อมตกแต่งด้วยดอกไม้ออร์แกนิก วิธีรับประทานให้ตักทานส่วนผสมทั้งหมดพร้อมกันจะได้ทั้งความสดชื่นและรสเปรี้ยวอมหวานที่ผสานความอร่อยแบบเข้ากัน ส่งท้ายมื้อนี้ได้อย่างน่าประทับใจ
Must Read!
- สามารถจอดรถได้ที่จุดให้บริการต่าง ๆ ภายในละแวกร้าน ย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย
- สามารถ Walk-in เข้ามาทานได้ แต่หากมาเป็นกลุ่มใหญ่ แนะนำให้จองล่วงหน้า เพื่อให้ตอบโจทย์การมาใช้บริการมากที่สุด







