Published on October 30, 2025

Kavee Returns, Reimagined as Sakkwa

หากใครเคยติดใจในรสชาติอาหารไทย Fine Dining จากร้านกวี (Kavee) ที่รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟเต้-วรธน อุดมชโลทรมาก่อนหน้านี้ เชื่อเหลือเกินว่าการมาเยือนร้านสัก-กะ-วา (SAKKWA) ร้านอาหารไทยร่วมสมัยแห่งใหม่ใจกลางย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นภาคต่อของกวีนั้น จะต้องประทับใจกับการประพันธ์ความอร่อยครั้งใหม่ที่เขาดูแลร่วมกับคุณแอม-กัญจน์พิมพ์ อัครภูษิต (ภรรยา)โดยปรับโฉมจาก Fine Dining สู่ Casual Dining ด้วยการเสิร์ฟแบบ A La Carte นำเสนอแนวอาหารไทยที่แชร์ความอร่อยกันได้ เข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน และราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น ผ่านการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพทั้งจากท้องถิ่นไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมเทคนิคการปรุงแบบผสมผสานตามแบบฉบับของเชฟเต้ ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลาย สามารถแวะมาเอ็นจอยมื้ออาหารได้ทุกโอกาส

 

บริเวณโซนครัวเปิดของทางร้าน

ในยุคที่ร้านอาหารส่วนใหญ่เริ่มปรับมาให้บริการในรูปแบบ Casual Dining มากขึ้น ร้าน SAKKWA จึงเลือกออกแบบให้ที่นี่เป็นเสมือนร้านอาหารประจำของผู้คนในย่านนี้ที่แวะเวียนกลับมาอิ่มอร่อยได้บ่อย

ชื่อร้าน ‘สัก-กะ-วา (SAKKWA)’ มาจากชื่อเรียกบทกลอนประเภทหนึ่งของไทย ซึ่งในบริบทนี้มีเชฟเต้เป็นผู้ประพันธ์รสชาติ แม้จะเปลี่ยนแนวอาหารมาเป็นแบบ A La Carte แต่ลายเซ็นรสมือของเชฟยังคงรังสรรค์อาหารที่มีความละเมียดละไม พรีเซนเทชันในสไตล์ Fine Dining เช่นเดิม แต่เพิ่มเติม Portion อาหารให้มีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถ Sharing กันได้ ถือเป็นความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์ทานอาหารระดับสูงในราคาที่สมเหตุสมผล
 

เชฟเต้-วรธน อุดมชโลทร และคุณแอม-กัญจน์พิมพ์ อัครภูษิต

Dining in a Cozy Ambiance

ตัวร้าน SAKKWA ตั้งอยู่บนชั้น 4 ภายในตึกแถวใจกลางย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ซึ่งเป็นย่านอาร์ตและเป็นย่านกิจกรรมสร้างสรรค์ ท่ามกลางบรรยากาศที่มีความ Cozy ตกแต่งในสไตล์ Mid-Century ผสมผสานกับวัสดุเหล็กที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตภายในชุมชน ซึ่งมีการค้าเหล็กเป็นธุรกิจหลักของย่าน เสริมความร่มรื่นสบายตาด้วยไม้ประดับให้ที่นี่ดูเหมือนเป็นห้องนั่งเล่นสุดผ่อนคลาย อีกทั้งทางร้านยังร่วมคอลแลปกับศิลปินท้องถิ่น (Local Artist) นำภาพวาดศิลปะมาติดผนังภายในร้าน ให้ได้มู้ดของความเป็น Art Gallery ในตัว

 

บรรยากาศสบาย ๆ ภายในร้าน

 

อีกหนึ่งมุมนั่งรับประทานอาหารที่มอบความเป็นส่วนตัว

ตามมาด้วยหลากหลายโซนนั่งรับประทานอาหารที่รองรับการ Dinner ทั้งแบบเป็นส่วนตัวและแบบกลุ่ม ทางร้านรองรับลูกค้าได้ทั้งหมดประมาณ 48-50 ที่นั่ง พร้อมโซนครัวเปิด เผยให้เห็นเบื้องหลังการปรุงอาหารแต่ละจานของทีมเชฟอย่างใกล้ชิด

ในอนาคตอาจจะมีการจัด Workshop ตอนกลางวัน เช่น เชฟสอนทำอาหาร หรือการจัดดอกไม้ เพื่อให้ได้ Vibes ของกิจกรรมและการมีส่วนร่วมที่สอดคล้องกับโลเคชันที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านแห่งศิลปะ
 

เบื้องหลังการรังสรรค์ความอร่อยของทีมเชฟ

 

รังสรรค์ความอร่อยอย่างพิถีพิถัน

Thai Roots in a Modern Form, Where Flavor Flows Like Poetry

เมนูอาหารของร้าน SAKKWA นำเสนออาหารไทยร่วมสมัยในรูปแบบ A La Carte ที่มีพรีเซนเทชันสวยงาม สามารถแชร์ความอร่อยร่วมกันได้ โดยมีเมนูไฮไลท์ที่หยิบยกบางเมนูซิกเนเจอร์ยอดนิยมจากกวีมาเสิร์ฟความอร่อยที่นี่ ด้วย Portion ที่ใหญ่ขึ้น ผสมผสานเมนูใหม่ ๆ หลากหลายหมวด ทั้งอาหารทานเล่น จานหลัก และของหวาน ที่เน้นความสร้างสรรค์และลายเซ็นการปรุงอาหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟเต้มาพรีเซนต์ความอร่อยในทุก ๆ จาน  พร้อมด้วยไวน์ลิสต์คุณภาพที่เสิร์ฟควบคู่กับมื้ออาหาร


โดยทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี ทั้งแบบ Local และนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงมีตู้ดรายเอจเช่นเดียวกับเมื่อครั้งเปิดให้บริการที่ร้านกวีทุกอย่าง ทั้งนี้การให้บริการยังเป็นไปตามมาตรฐาน Fine Dining ใน Version ที่มีความเป็นกันเองมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนที่มาที่ร้าน ได้รับความผ่อนคลาย เอ็นจอยมื้ออาหารแบบสบาย ไม่ต้องรู้สึกเกร็ง

 

การครีเอตเมนูกุ้งลายเสือ

ครั้งนี้ประเดิมความอร่อยด้วยเมนู กุ้งลายเสือ (360 บาท) หรือ 'เสือซ่อนกลิ่น กุ้งซ่อนเล็บ' เมนูไฮไลท์ที่ส่งต่อความอร่อยมาจากร้านกวี โดยใช้กุ้งลายเสือจากจังหวัดตราด ดองในลูกมะกรูดพร้อมสมุนไพรไทย เสิร์ฟในลูกมะกรูด ราดด้วยซอสสมุนไพรสูตรลับ วิธีรับประทานคือให้บีบมะกรูด ลงไปบนซอสเพื่อเพิ่มความหอมและความกลมกล่อม

 

กุ้งลายเสือ (360 บาท)

ตามด้วยเมนู หอยเชลล์แม่คะนิ้ง (330) หอยเชลล์ที่เสิร์ฟมากับกรานิต้าน้ำกะทิหมักที่มีรสเปรี้ยว รสชาติคล้ายต้มกะทิหอย รสเปรี้ยวนำเสริมด้วยขิงกรอบ ผสานกับความสดชื่นของแตงกวา และซอสมะพร้าวสไปซี่ที่ให้รสเผ็ดเล็กน้อย ทำออกมาในลักษณะเมนู Appetizer ได้รสสัมผัสเย็นสดชื่น ช่วยเปิดต่อมรับรสและเรียกน้ำย่อยระหว่างมื้ออาหารได้ดี

 

หอยเชลล์แม่คะนิ้ง (330)

ถัดมาเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารทานเล่นที่สื่อถึงความเป็นย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ด้วยการนำแรงบันดาลใจจากสตรีทฟู้ดมารังสรรค์เป็นความอร่อยอย่างมีกิมมิกมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า กุยช่ายตลาดน้อย (200 บาท) ขนมกุยช่ายดีไซน์รูปทรงดอกไม้สุดน่ารักที่ใช้ผักปลอดสารพิษ ปรุงรสด้วยสูตรเฉพาะ แล้วนำไปนึ่งด้วยอุณหภูมิพอเหมาะ ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มหนึบใน เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสสูตรลับเฉพาะ ตกแต่งด้วยดอกไม้ออร์แกนิกที่สามารถรับประทานได้ จากแหล่งผลิตที่ดูแลโดยเชฟเอง สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นจนจบ

 

กุยช่ายตลาดน้อย (200 บาท)

ทวีความอร่อยมากขึ้นตามลำดับกับเมนู ไส้กรอกเป็ดรมควัน (385 บาท) สะท้อนแนวคิด Zero Waste โดยการเลือกใช้สะโพกเป็ดนำไปทำไส้กรอก และใช้คอเป็ดเป็นปลอก ส่วนประกอบด้านในของไส้กรอกนั้นอัดแน่นด้วยเนื้อเป็ดและซอสสมุนไพร ซึ่งเป็นการผสมผสานวัตถุดิบและรสชาติอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกคล้ายกับไส้อั่ว นอกจากนี้ยังเสิร์ฟมาพร้อมกับพริกหยวกย่าง เพื่อเพิ่มมิติให้กับไส้กรอกทั้งความหอมและช่วยตัดรสชาติ วิธีรับประทานแนะนำให้บีบมะนาวลงไปบริเวณไส้กรอก จะช่วยเสริมรสชาติให้หอมและอร่อยมากยิ่งขึ้น

 

ไส้กรอกเป็ดรมควัน (385 บาท)

จากนั้นมาลองจานผัดกันบ้างกับเมนู โอซุ่น (220 บาท) ที่นำก้านของผักโอซุ่น (ตระกูลผักกาด) มาผัดกับเผ็ดหอม โดยใช้ครีมปลาเค็มเป็นส่วนประกอบด้านล่าง ส่วนด้านบนโรยหน้าด้วยผักเคลทอดกรอบ เพื่อเพิ่มรสสัมผัสให้อาหารจานนี้มีมิติมากขึ้น ก่อนรับประทาน แนะนำให้คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน แล้วรับประทานพร้อมกับผักเคล จะเพิ่มความกลมกล่อมลงตัว

 

ในส่วนของเมนูแกงแนะนำที่นิยมเสิร์ฟรับประทานคู่กับข้าวสวยร้อน ต้องลอง แกงขี้เหล็กแก้มหมูย่าง (420 บาท) อาหารไทยโบราณ ผ่านกรรมวิธีที่พิถีพิถัน สำหรับใบขี้เหล็กจะนำไปมาต้มด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะ เพื่อให้ได้ใบที่มีความนิ่ม ไม่มีรสขม ส่วนแก้มหมู เชฟจะนำมาย่างด้วยเตาถ่าน เพื่อเพิ่มความหอมตามสูตรโบราณ ซึ่งให้ทั้งความหอมและรสกลมกล่อม ก่อนตกแต่งด้วยการราดหัวกะทิและโรยด้วยพริกทอด เพื่อเพิ่มมิติของรสชาติและเนื้อสัมผัสที่กรอบ ถือเป็นการยกระดับเมนูแกงไทยดั้งเดิมด้วยเทคนิคแบบ Fine Dining ที่ให้ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน

 

โอซุ่น (220 บาท)

จัดเต็มความอร่อยด้วยเมนูจานหลักอย่าง เป็ดพรายควัน (720 บาท) เป็ดดรายเอจที่เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสมัสมั่นสูตรเฉพาะที่ให้รสชาติเข้มข้น ประกอบกับส่วนผสมอื่น ไม่ว่าจะเป็นเห็ด, Baby Potato และมะเขือเทศ โดยรวมของจานนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลของรสชาติและเนื้อสัมผัส ด้วยส่วนประกอบที่ให้ความหอมมันและรสเปรี้ยวช่วยตัดความมันเลี่ยน ก่อนเพิ่มมิติด้วยกลิ่นหอมของหอมแดงย่างเตาถ่าน เป็นเทคนิคการปรุง ผสมผสานรสชาติอาหารระหว่างเนื้อเป็ดและซอสไทยรสเข้มข้นได้อย่างลงตัว

 

แกงขี้เหล็กแก้มหมูย่าง (420 บาท)

ปิดท้ายกันที่หมวดของหวานกับเมนู สับปะรดแสงทอง (250) เมนูของหวานที่ผสมผสานรสชาติและเนื้อสัมผัสของหลากหลายส่วนผสมที่แตกต่างกันในหนึ่งเดียว ได้แก่ สับปะรดย่างตรงส่วนฐานของจาน เจลลี่สับปะรดและเจลลี่สาโทที่ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติ เติมความสดชื่น ไอศกรีมสับปะรดสูตรเฉพาะของเชฟเต้ พร้อมตกแต่งด้วยดอกไม้ออร์แกนิก วิธีรับประทานให้ตักทานส่วนผสมทั้งหมดพร้อมกันจะได้ทั้งความสดชื่นและรสเปรี้ยวอมหวานที่ผสานความอร่อยแบบเข้ากัน ส่งท้ายมื้อนี้ได้อย่างน่าประทับใจ

 

สับปะรดแสงทอง (250)

Must Read!
  • สามารถจอดรถได้ที่จุดให้บริการต่าง ๆ ภายในละแวกร้าน ย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย
  • สามารถ Walk-in เข้ามาทานได้ แต่หากมาเป็นกลุ่มใหญ่ แนะนำให้จองล่วงหน้า เพื่อให้ตอบโจทย์การมาใช้บริการมากที่สุด
Info
Hours
Open : 5:30PM - 12AM
Fri : 5:30PM - 12AM
Sat : 5:30PM - 12AM
Sun : 5:30PM - 12AM
Mon : 5:30PM - 12AM
Tue : Closed
Wed : 5:30PM - 12AM
Thu : 5:30PM - 12AM
Price

฿฿฿฿ 501-1,000 บาทต่อคน

Address
ชั้น 4, 839 ซอยเจริญกรุง 31 ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
Map
Mass Transit

MRT หัวลำโพง ทางออก 1

Facilities
Suggest an Edit