Let’s explore new Mediterranean flavors at Sanitwong
ปักหมุดความอร่อยสไตล์ Progressive Thai-Mediterranean ที่ ‘Sanitwong Bites & Brews’ ร้านอาหารโฮมมี่แห่งย่านจรัญสนิทวงศ์ ที่เลือกชูวัตถุดิบโลคอลทั่วภูมิภาคของไทยมาสร้างสรรค์เป็นสารพัดเมนูเมดิเตอร์เรเนียนในมิติใหม่ให้ได้ลิ้มลองกันอย่างเข้าถึงง่ายขึ้น เอ็นจอยมื้ออาหารท่ามกลางบรรยากาศของความเป็นบ้านอันแสนอบอุ่น
จากจุดเริ่มต้นความฝันในการทำร้านอาหารเล็ก ๆ ของ ’คุณใบตอง-กมเลศ ฤทธิ์เดชา’ เชฟสาวเจ้าของร้าน ผู้พลิกผันจากอาจารย์มหาวิทยาลัย สู่เส้นทางเชฟในต่างแดนที่เมือง Tasmania ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย โดยเธอได้ทุ่มเทอย่างหนัก สั่งสมประสบการณ์ในการทำอาหาร ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปีเต็ม จนเกิดความผูกพันกับอาหารเมดิเตอร์เรเนียน จนท้ายที่สุดได้กลับมาเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองในโลเคชันที่คุ้นเคยอย่างย่านจรัญสนิทวงศ์ ฝั่งธนบุรีที่เธอเติบโตมา พร้อมไอเดียที่จะสร้างสรรค์เมนูเมดิเตอร์เรเนียนในแบบที่เข้าถึงง่ายและให้รสชาติที่คนไทยคุ้นเคย ด้วยการผสานวัตถุดิบท้องถิ่นเข้ากับเทคนิคการปรุงแบบดั้งเดิม ซึ่งหากใครที่อยากเปิดประสบการณ์รับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ขอแนะนำว่าที่ Sanitwong Bites & Brews แห่งนี้เป็นหนึ่งในลิสต์ร้านแรก ๆ ที่ควรค่าแก่การมาลองสักครั้ง
A place where comfort meets nostalgia
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งร้านสไตล์วินเทจ ตามความชอบส่วนตัวของเชฟใบตอง เต็มไปด้วย Vibes อบอุ่นสุดคลาสสิก โดยเชฟใบตองได้เลือกนำของของเก่าของสะสมจากทางคุณพ่อมาตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อเสริมความโฮมมี่และความผูกพันเข้ากับสถานที่แห่งนี้มากยิ่งขึ้น ด้วยความตั้งใจให้พื้นที่นี้ได้มอบความทรงจำดี ๆ เป็นเหมือนเซฟโซนที่ทุกคนแวะมาเอ็นจอยมื้ออาหารกับก๊วนคนสนิทเมื่อไหร่ก็แฮปปี้เสมอ
ผู้ที่มาเยือนสามารถเลือกนั่งรับประทานอาหารได้ตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเป็นโซนด้านในหรือด้านนอกก็มอบความรู้สึกสบาย ๆ การให้บริการที่ทั้งใส่ใจและเป็นกันเองไม่แพ้กัน
From the Local to the Table
หัวใจหลักของการเสิร์ฟความอร่อยในแบบฉบับของ Sanitwong Bites & Brews อยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นไทยทั้งหมด เข้ากับเทคนิคการปรุงแบบดั้งเดิม เพื่อสนับสนุนเกษตรกร กระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น
เชฟใบตองพบว่าวัตถุุดิบของดีในเมืองไทยมีอยู่ทั่วทุกภูมิภาค จึงเกิดความตั้งใจที่จะอุดหนุนชุมชนจากต้นน้ำอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้หัวปลีแทน Heart of Artichoke ที่มีราคาสูง ซึ่งพบว่าหัวปลีนั้นมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่น่าสนใจ เป็นการเสาะหาผักสดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะผักจากโครงการหลวง ซึ่งทางร้านยอมรับในคุณภาพที่กรอบ สด หวาน และไม่ขม, การใช้ปลาอินทรีจากกลุ่มประมงชาวสงขลา แทนปลาแองโชวี่ที่ให้ผลลัพธ์รสชาติที่ใกล้เคียงกัน, การใช้ชีสบูราต้าจากกลุ่มแม่บ้านในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งรสชาติดีไม่แพ้อิตาลีเลย และเลือกใช้แฮมที่ผลิตในจังหวัดราชบุรี ผ่านกระบวนการทำเช่นเดียวกับ Parma Ham ของต่างประเทศ เป็นต้น
ด้วยความที่คุณใบตองเชื่อว่าวัฒนธรรมการทำอาหารทุกสัญชาตินั้นอยู่รอดได้ด้วยการปรับตัว เราสามารถนำร่องในการนำเสนอวัตถุดิบโลคอลไทย ยกระดับภูมิปัญญาไทยสู่เวทีอาหารระดับนานาชาติได้ เพราะคนไทยมีฝีมือ ไม่เพียงแต่ในแง่ของมูลค่าทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึง มูลค่าทางภูมิปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ร้านสนิทวงศ์จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนวัตถุดิบชั้นดี รวมถึงพยายามสื่อสารให้คนทั่วไปได้ทราบว่า เบื้องหลังวัตถุดิบเหล่านี้ล้วนต้องผ่านความทุ่มเทมากเพียงใด ก่อนจะ Grooming ใหม่ ส่งมอบความอร่อยให้ทุกคนได้ลิ้มลอง
Progressive Thai-Mediterranean Cuisine
สารพัดเมนูอาหารของทางร้าน เน้นพรีเซนต์อาหารเมดิเตอร์เรเนียนจากฝั่งอิตาลี สเปน และฝรั่งเศสตอนใต้ ถูกใจสายเฮลท์ตี้ เพราะปรุงแต่งน้อย ใช้เพียงน้ำมันมะกอก เกลือ และพริกไทย เพื่อชูรสชาติที่แท้จริงของวัตถุดิบเป็นหลัก ด้วยความที่เชฟใบตองเรียนรู้การทำอาหารแบบไม่ใส่สารปรุงแต่ง ไม่ใช้สารปรุงรสใด ๆ เลย ผ่านกระบวนการปรุงที่น้อยแต่เน้นความสดใหม่ สะท้อนถึงสีสันของธรรมชาติในจานอาหาร ทำให้อาหารเมดิเตอร์เรเนียนถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ มีความเชื่อมโยงกับความเป็นยาอายุวัฒนะ (Longevity) ที่สามารถผสมผสานความเป็นอาหารเมดิเตอร์เรเนียนเข้ากับวัตถุดิบไทยได้อย่างลงตัว
เมื่อมาเยือน Sanitwong Bites & Brews ทั้งที เชฟใบตองขอแนะนำหลากหลายเมนูน่าลองที่ต้องห้ามพลาด ดังนี้ เริ่มจากหมวดจานสลัดอย่างเมนู Thai Artichoke Salad (260 บาท) เมนูสลัดที่แสดงถึงความชาญฉลาดในการแทนที่วัตถุดิบหลักด้วยของดีในท้องถิ่นไทย โดยทางร้านได้เลือกใช้หัวปลีมาเป็นวัตถุดิบหลักแทน Heart of Artichoke ซึ่งช่วยให้ได้เนื้อสัมผัสและรสชาติที่ลงตัวกับน้ำสลัดสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ให้ความสดชื่นเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นไปในตัว
ตามด้วยหมวด Quickbites หรืออาหารทานเล่นเรียกน้ำย่อย ได้แก่ Crudo in Paradise (360 บาท) หอยเชลล์สดที่เสิร์ฟมากับกรานิต้าฝรั่งไส้แดง ให้รสชาติที่เย็นสดชื่น และเสริมรสชาติด้วยผักดองพื้นบ้านของไทย เช่น มะระขี้นก, พริกหนุ่ม, หอมแดง และเม็ดบัว พร้อมผลไม้ตามฤดูกาล รับประทานแล้วสดชื่นและให้ความแปลกใหม่จากเมนูซีฟู้ดทั่วไป
Hola Ceviche (360 บาท) เมนู Ceviche ที่ผสานรสชาติอย่างมีมิติ โดยมีส่วนประกอบของ Dressing จากเสาวรส มะม่วงสุก และสับปะรดหอมสุวรรณ ซึ่งเป็นการนำผลไม้เมืองร้อนของไทยมาให้รสชาติเปรี้ยวหวานในสไตล์ละติน, Tartare Dot ส่วนผสมที่ใช้ผักดองของไทยมาทำเป็นทาทาร์ ด้านบนประดับด้วยแอปเปิ้ลที่นำมาโพชในสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน เสริมด้วยหอมดอง และ Sumac ซึ่งเป็นผลไม้แห้งคล้ายเบอร์รีที่นิยมทานกันในหมู่ชาวเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมด้วยน้ำมันปรุงรสที่สกัดจากสมุนไพรไทยต่าง ๆ
ต่อเนื่องความอร่อยด้วยเมนู Seafood Gambas Hot Pan (260 บาท) กุ้งผัดน้ำมันมะกอกสูตรเข้มข้น โดยความพิเศษของจานนี้อยู่ที่การใส่น้ำเคยและมันกุ้งลงไปด้วย เพื่อให้น้ำซอสมีรสเข้มข้นกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
ถัดมาเป็นหมวดพาสต้ากับเมนูซิกเนเจอร์ที่ชื่อว่า Plara Pasta (280 บาท) พาสต้าปลาเค็มรสละมุน โดยเมนูนี้จัดว่าเป็นเมนูยอดนิยมประจำร้าน ผ่านการตีความพาสต้าปลาเค็มในสไตล์ไทย-เมดิเตอร์เรเนียน เลือกใช้วัตถุดิบหลักเป็นปลากุเลาเค็มจากอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร (ประยุกต์มาจากพาสต้าอิตาเลียนดั้งเดิมที่มีการผัดเส้นพาสต้ากับแอนโชวี่และเคเปอร์) เสิร์ฟมาให้รับประทานคู่กับปลาข้างเหลืองหอมเจียวที่สามารถบีบเลมอนตามลงไปเพื่อเสริมมิติให้กับรสชาติอาหารจานนี้เป็นพิเศษ
ปิดท้ายมื้ออาหารครั้งนี้กันที่หมวดอาหารจานหลักอย่าง Fish En Papillote (460 บาท) ปลาอบในกระดาษไข อีกหนึ่งจานที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของเทคนิคการปรุงอาหารของทางร้าน โดยนำเนื้อปลาแซลมอนไปผ่านกระบวนการหมักในน้ำเกลือและกงฟีต์ก่อนอบในกระดาษไข เพื่อรักษาความชุ่มฉ่ำของเนื้อปลาไว้ให้มากที่สุด พร้อมใส่ส่วนประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นซูกินี สมุนไพรต่าง ๆ ลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสสัมผัสของความสดชื่นภายใน รวมถึงส้มและลำไยที่มาช่วยเพิ่มมิติของรสชาติให้ได้ความเปรี้ยวอมหวานที่ผสานความอร่อยกันได้อย่างลงตัว








